ฤาษีโคบุตร



ฤๅษี หรือ ฤษี (สันสกฤต: ṛṣi; เทวนาครี: ऋषि) 
หมายความว่า ผู้แต่งพระเวท หรือผู้เห็น ฤๅษีเป็นนักบวชพวกหนึ่ง มีมาก่อนพุทธกาล สละบ้านเรือนออกไปบำเพ็ญพรตแสวงหาความสงบ ตามสถานที่สงัดต่างๆ ในป่าเขาหรือถ้ำ และเดิมมักเป็นหญิง ซึ่งเรียก "ฤษิก" (rishika)[1] ตามความในคัมภีร์สารวานุกรมนี (Sarvanukramani) ในบรรดาผู้แต่งฤคเวทนั้น เป็นฤษีหญิงถึงยี่สิบคน
ฤษี อาจหมายถึงมุนี (อังกฤษ: muni) ฤษี อีกความหมายหนึ่งคือ ฤษีเพศชาย ส่วน "ฤษิณี" หมายถึง ฤษีเพศหญิง ฤษีที่มีชื่อเสียงชื่อ ฤษี วยาส ผู้สร้างโศลกเรื่องมหากาพย์ภารตะ ซึ่งเป็นมหากาพย์ที่มีจำนวนโศลกมากจำนวนประมาณถึง 1 แสนโศลก ตำนานเล่าว่า ฤๅษีเวทวฺยาส หรือ กฤษฺณ ไทฺวปายน เป็นปู่ของสองพี่น้องตระกูลเการพและปาณฑพ และเป็นเหลนใหญ่ของท้าวภรต คัมภีร์โบราณของฮินดูระบุไว้ว่า ท้าวภรต (ภะ-ระ-ตะ) ผู้นี้เป็นโอรสท้าวทุษยันต์ อันเกิดจากนางศกุนตลา
 
 
พระฤาษีโคบุตร 
พระฤาษีโคบุตร เป็นบุตรของพระฤาษีโคตะมะ ซึ่งอยู่ในตระกูลของพระฤาษีมาโดยตลอด พระฤาษีโคบุตรก็ได้รำเรียนวิชามาจากพระฤาษีโคตะมะผู้ทีเป็นบิดามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่่ว่าในที่นี้ก็มิได้ระบุนามของผู้ที่เป็นมารดาแต่ประการใด ได้ศึกษาเล่าเรียนในหลักวิชาการตลอดจนกระทั่งเวทมนต์คาถา ท่องจำจนขึ้นใจได้ในทุกๆ วิธีการ จึงได้กลายมาเป็นมนต์ขลัง ทั้งเมตตามหานิยมและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ถึงกับเหาะเหินเดินอากาศได้ตั้งแต่ยังมิได้เป็นพระฤาษี ท่านก็เที่ยวของท่านไปในทุกๆ ที่
 
แต่ก็มีจุดที่จะให้สังเกตเห็นในความสำคัญและความสามารถของท่านอีกอย่างหนึ่งด้วย คือ ไม่ว่าท่านเที่ยวไปในสถานที่ใดก็ตาม เมื่อไปพบกับเพศตรงข้ามเข้าให้แล้ว ก็มักจะพากันหลงใหลใฝ่ฝันด้วยแรงเสน่หาในตัวท่าน ไม่ว่าจะเป็นสาวแก่แม่หม้ายลูกเขาเมียใครก็ต้องมีอาการเช่นนี้เหมือนกันทั้งหมด ขอให้เป็นผู้หญิงก็แล้วกัน เมื่อพบหน้าปุ๊บก็จะต้องรักปั๊บเลยทีเดียว พระฤาษีโคบุตรผู้นี้จึงได้นามว่าไปถึงไหนก็จะต้องได้เมียที่นั่นเสมอไป จนกระทั่งมากมายถึงขนาดจำหรือลำดับไม่ถูกเชียวแหละ ทั้งๆที่รู้ก็รู้ว่ามีเมียแล้ว แต่ว่าเขาก็จะรักและจะต้องการ แล้วใครจะทำไม จึงเกิดการชุลมุนวุ่นวายในระหว่างเมียน้อยเมียหลวง มักจะทะเลาะวิวาทตบตีกันเป็นประจำด้วยความหึงหวงกันเป็นส่วนใหญ่ และในจำนวนผู้หญิงทุกระดับชั้น มีตั้งแต่เทพธิดา นางฟ้า นางอัปสร มนุษย์รากษี กินนร กินรี นาคีและนางไม้ จึงสร้างความรำคาญให้แก่พระฤาษีโคบุตร มีความเห็นว่าถ้าขืนอยู่ต่อไปก็คงจะต้องอายเขาแน่ๆ จึงได้ตัดสินใจหลบหนีบรรดาเมียๆ ทั้งหลายเหล่านั้นไปเสียให้พ้นๆ เพื่อจะได้ตัดความยุ่งยากมิให้เกิดมีขึ้นมาอีก แต่ครั้นหลบหนีพวกนางทั้งหลายเหล่านั้นมาพ้นแล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งใหม่ ในที่สุดไม่ช้าก็มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นมาอีกแต่ก็มิไช่พวกเก่า กลายเป็นพวกใหม่อีกทั้งกลุ่ม แล้วในที่สุดก็จำเป็นที่จะต้องหลบหนีต่อไปอีกให้พ้นด้วยความรำคาญ
 
ที่นี้ก็มาอยู่ภายในป่าลึกและทับเอาเลยทีเดียว แต่แล้วอีกไม่นานเท่าใดนัก พวกชายาของพระในป่านั้นได้พากันเข้ามาหาเก็บผลไม้ ก็มาพบพระฤาษีโคบุตรเข้าอีกจนได้ แล้วก็เกิดการหลงใหลใฝ่ฝันในเสน่ห์ของพระฤาษีโคบุตร จนกระทั่งนานวันเข้าก็ยิ่งมากนางเข้าไปทุกขณะ แล้วในที่สุดก็ได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาอีก ด้วยความหึงหวงกันขึ้นมาอีกจนได้ เรียกว่าหนีไม่พ้น ข่าวนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงในบรรดาพระฤาษี พระมุรี พระดาบส ทั้งหลายที่ในป่านั้น จึงมีความโกรธแค้นพระฤาษีโคบุตร พระดาบสทั้งหลายจึงได้ประชุมกันแล้วก็ยกพวกมุ่งมา หวังจะรุมประชาทัณฑ์พระฤาษีโคบุตรให้สมแค้น ในฐานะที่ทำให้ชายาของแต่ละองค์ได้เข้ามาผูกพันและเกี่ยวข้องกันโดยที่ไม่เลือกว่าใครเป็นใคร แต่ว่าชะตาของพระฤาษีโคบุตรก็ยังมิได้ถึงฆาต เท่ากับว่าสวรรค์ยังคงปราณีอยู่ ข่าวจึงได้รั่วไปเข้าหูของพระฤาษีโคตะมะผู้เป็นบิดา ในเมื่อท่านได้รู้เรื่องราวดังนั้น ท่านก็ไม่รอช้า รีบมุ่งหน้าไปหาลูกชายโดยเร็ว ด้วยใจยังเป็นห่วง กลัวว่าพวกพระฤาษีชีไพรทั้งหลายเหล่านั้นจะรุมประชาทัณฑ์
 
ครั้นว่าพระฤาษีโคตะมะมาถึงแล้วก็มองเห็นพระฤาษี พระมุรี พระดาบส และพวกชีพราหมณ์ผู้ทรงศีลทั้งหลายเกลื่อนกลาดดารดาษไปทั่วทั้งในบริเวณนั้น จึงได้ตรงเข้าไปถามไถ่ในเหตุผลต้นปลายว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร จึงได้เกิดเป็นเหตุเช่นนี้ขึ้นมา พวกพระฤาษีชีพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็เล่าเหตุผลตันเรื่องให้พระฤาษีโคตะมะฟังโดนละเอียด แล้วพระฤาษีโคตะมะจึงทบทวนในเหตุผล ก็เห็นว่าขืนปล่อยไว้เช่นนั้นคงจะไม่ได้การแน่ๆ มันจะต้องเกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้นมาภายในไม่ช้านี้ ทางที่ดีแล้วจะต้องหาทางแก้ไขด้วยการเกลี้ยกล่อมให้ประนีประนอมกันและขอร้องให้พวกพระฤาษีชีพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นจงเลิกแล้วต่อกัน และพระฤาษีโคตะมะก็ได้ให้สัญญาว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก ด้วยต่อไปนี้พระองค์จะคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด มิให้ห่างสายตา ในบรรดาพวกพระฤาษีมุรีดาบสทั้งหลายเหล่านั้นก็ยอมให้อภัย ก็เพราะว่าเห็นแก่พระฤาษีโคตะมะ ด้วยความเกรงใจเป็นล้นพ้น พระฤาษีกรกฎ ผู้เรืองอำนาจในอิทธาอภินิหารทั้งในด้านไสยาคมนับว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการของพระฤาษีทั้งหมดที่ได้พากันมาในขณะนั้นด้วยว่าท่านยังมิได้หายในการโกรธแค้น ถึงแม้ว่าจะยกเลิกไม่เอาโทษทัณฑ์แล้วก็ตาม แต่ท่านก็ยังได้ชี้หน้าใช้วาจาประกาศิตประกาศเป็นการสาบแช่งก่อนจะจากไป
     
'จงคอยดูนะ อีกหน่อยเถอะ ถ้ายังขืนทำตัวเช่นนี้หัวกับตัวต้องแยกกันไปคนละทาง'
 
เมื่อพระฤาษีกรกฎประกาศดังๆ ออกมาเช่นนั้นแล้ว พระฤาษีก็ออกเดินทางสถานที่แห่งนั้นไป ทำให้พระฤาษีโคตะมะถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก และเพื่อที่จะต้องแก้ไขให้เรื่องร้ายๆ กลายเป็นเรื่องดี และเรื่องหนักหนาสาหัสทั้งปวงนั้นให้กลับกลายเป็นสถานเบา ครั้นแล้วพระฤาษีจึงจำเป็นต้องจับเอาตัวลูกชายให้บวชเป็นพระฤาษีแล้วให้มุ่งหน้าบำเพ็ญตบะสร้างบารมีต่อไป  ตั้งแต่ในนั้นเป็นต้นมาก็รู้สึกว่าพระฤาษีโคบุตรก็มีความขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นบิดาเท่าใดนัก จึงเลิกละและลืมคิดในเรื่องอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่ครั้งหนหลังลงไปได้อย่างสนิท เคร่งในธรรม ปฏิบัติธรรมด้วยความพยายาม และก็ไม่ยอมออกจากอาศรมไปเที่ยวที่แห่งใดอีกเลย คงเฝ้าแต่เก็บตัวอยู่ในอาศรมตลอดไป
 
พระฤาษีโคบุตรก็ได้บำเพ็ญตบะเพื่อสร้างบารมีอยู่เป็นเวลานานหลายปี ก็ได้บรรลุเป้าหมายแห่งความสำเร็จจึงมีฤทธิ์มีอำนาจทั้งในด้านอิทธิฤทธิ์และบารมีมากมาย ต่อจากนั้นมาพระฤาษีโคบุตรก็มีความเก่งกล้าสามารถไม่แพ้กันกับพระฤาษีโคตะมะผู้เป็นบิดา แล้วจึงขอไปบำเพ็ญพรตสร้างบารมีต่อในป่าที่มีความเงียบสงบในระหว่างเทือกเขาหิมาลัยปันแดนกันในระหว่างเขาไกรลาศและป่าหิมพานต์ด้วยมีความคิดเห็นว่าในสถานที่แห่งนี้เป็นที่สงบเงียบเหมาะสมในการบำเพ็ญเป็นยิ่งนัก จึงได้เริ่มต้นอยู่ในสถานที่แห่งนั้นเป็นต้นมา
 
จะกล่าวถึงนางเทพธิดาร้อยแปดนาง ซึ่งเป็นข้าบาทบริจาริกาขององค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้า ทุกๆ วันนางเทพธิดาพวกนั้นจะต้องพากันลงมายังป่าใหญ่ เพื่อนที่จะเก็บดอกไม้ที่มีความสวยงามนำขึ้นไปถวายพระอิศวรและพระศรีมหาอุมาเทวี เป็นกิจวัตรประจำวันและจะต้องทำเช่นนี้ทุกๆ วันอีกด้วย เมื่อถึงวันที่บัญเอิญต้องให้มีเหตุ บรรดานางฟ้าและเทพธิดาในกลุ่มนั้นก้ได้เที่ยวเดินทางหาดอกไม้กันมาในราวป่าตั้งแต่เชิงเขาไกรลาศลงมาเก็บกันทุกวัน ๆ จึงทำให้ดอกไม้นั้นหายาก จึงต้องเดินหากันไกลออกมาในทุกขณะ จนกระทั่งมาถึงอาศรมของพระฤาษีโคบุตร ซึ่งได้ปลูกต้นไม้ดอกไเอาไว้มากมายในบริเวณที่หน้าอาศรมแห่งนั้น กำลังออกดอกชูขึ้นมาประชันกัน มองดูแล้วก็ให้มีความสวยงามเจริญตาไม่น้อยเลยทีเดียว และแต่ละดอกส่งกลิ่นหอมเย็นลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งในบริเวณนั้น ทำให้ผู้ที่ผ่านมารู้สึกมีความสดชื่นขึ้นมา เพราะกลิ่นดอกไม้พาให้ชื่นใจ หายจากความเหน็ดเหนื่อยลงไปได้ นางเทพธิดานางฟ้าในจำนวนร้อยแปดนางได้พากันหยุดอยู่ที่หน้าอาศรม พากันสูดกลิ่นและเดินชมดอกไม้งามๆ เหล่านั้น แต่ทว่าไม่กล้าที่จะเก็บเพราะยังไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใดใครที่เป็นเจ้าของ และใครเล่าที่เป็นคนปลูกต้นไม้เหล่านี้ขึ้นมา แต่ว่าต้องมีเจ้าของอย่างแน่นอนที่สุด ก็เพราะว่าตามลักษณะของดอกไม้ป่ากับดอกไม้ที่มีคนปลูกนั้นจะต้องมีความแปลกและแตกต่างไม่เหมือนกัน จากการสังเกตก็จะเห็นได้ว่าดอกไม้ป่าโดยทั่วๆ ไปนั้น มันจะขึ้นกันระเกะระกะไม่มีแถวไม่มีแนว เมื่อยามที่ออกดอกก็เช่นเดียวกัน ที่นั่นดอกหนึ่ง ที่นี่อีกดอกหนึ่ง ซึ่งก็จะไม่มีความสวยงามเท่าที่ควรแต่ในสถานที่แห่งนี้ช่างขึ้นเป็นกลุ่ม เรียงกันเป็นแถวอย่างมีระเบียบ ทั้งยังออกดอกพร้อมๆ กันอย่างแสนที่จะสวยงามจะต้องมีผู้ที่มาประดิษฐ์แต่งเอาไว้เป็นแน่ทีเดียว
 
ในระหว่างที่นางเทพธิดาและนางฟ้าจำนวนนั้นยังมีความลังเลกันอยู่ ก็พอดีกับท่านพระฤาษีโคบุตรออกจากฌานสมาบัติพอดี ในเมื่อเดินออกมาจากอาศรมนั้นก็พบเข้ากับพวกนางเทพธิดาและนางฟ้าจำนวนนั้น จึงได้สอบถามหาสาเหตุก็ทราบว่านางทั้งหมดนั้นมีความต้องการที่จะได้รับดอกไม้เพื่อที่จะนำเอาขึ้นไป ถวายต่อองค์พระศิวะและพระอุมาผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ พระฤาษีโคบุตรก็มีความยินดีจึงรีบเข้าไปเก็บดอกไม้ของท่านเลือกสรรเอาแต่เฉพาะดอกที่ดีๆ ที่มีความสวยงามนำมามอบให้กับนางเทพธิดาและนางฟ้าในกลุ่มนั้น เพื่อฝากให้นำไปถวายองค์พระอิศวรและพระอุมาเทวีผู้เป็นเจ้า ตามความมุ่งหมายของพวกนางทั้งหลายเหล่านั้นครั้นแล้วพวกนางเทพธิดาทั้งร้อยแปดก็รู้สึกว่ามีจิตใจผูกพัน
 
ผลสุดท้ายเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ล่วงรู้ไปถึงพระอิศวรผู้เป็นเจ้า ท่านจึงต้องเสด็จมาห้ามทัพ แล้วจึงสอบสวนเรื่อราวหาสาเหตุกันต่อไป ในเมื่อองค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้ทรงทราบเหตุผลต้นปลายอย่างชัดเจนแล้ว จึงตัดสินคดีลงโทษนางเทพธิดาและนางฟ้าทั้งร้อยแปดนางนั้น ให้ลงจากสวรรค์ไปสถิตถ์อยู่ตามต้นไม้ใหญ่ๆในเมืองมนุษย์ ให้กลายเป็นนางไม้ด้วยกันทั้งหมดในกลุ่มนั้น แต่ก็ยังมิเพียงพอความต้องการ จึงลงโทษพระฤษีโคบุตรอีกด้วย เพราะว่าเป็นต้นตอก่อให้เกิดเรื่องราวขึ้นมาในครั้งนี้ด้วยเสน่ห์ที่แรงกล้า พระอิศวรผู้เป็นเจ้าจึงประกาศประกาศิตให้แยกหัวออกจากตัวไปคนละทาง จะได้ไม่เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นมาอีก แต่ก็มิให้ตาย ยังทรงมีเมตตาในการที่ได้ถวายดอกไม้จึงเพียงแค่สั่งสอนและมิให้ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่าง ให้หัวของพระฤษีโคบุตรนั้นยังอยู่ในที่อาศรมเหมือนเดิม และมิหนำซ้ำยังได้สาปให้ตัวไปอยู่ในถ้ำแห่งเขาฤษยมุกให้กลายเป็นค้างคาวอยู่ภายในถ้ำแห่งนั้น ให้ออกหากินได้แต่เพียงในเวลากลางคืน และในเวลากลางวันก็มิต้องทำอะไร ไม่ต้องออกมาทำมาหากินทั้งนั้น ให้เกาะอยู่เฉยๆ ห้อยหัวลงมาแล้วก็นอนพักผ่อนอยู่เช่นนั้นตลอดทั้งวัน เมื่อองค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าทรงมีศิวะบัญชาแล้วก็เสด็จกลับสวรรค์....
 
พระฤษีโคบุตรนี้มีเสน่ห์ที่ร้อนแรงมาก จนกระทั่งนักแสดงทั้งหลายโดยทั่วๆไป มักนิยมปั้นเศียรของพระฤษีโคบุตรนั้นเอาไว้ใช้ในการครอบ เพื่อจะเพิ่มอิทธิมงคลและมีเมตตามหานิยมให้คนดูหลงใหลใฝ่ฝันศิลปินส์ประเภทนี้ก็มี โขน ละคร ลิเก ฯลฯ
 
ศิลปินไทยๆ ของเรามักจะต้องนำเอาเคียรพระฤาษีที่เรียกกันว่า เศียรพ่อแก่ หรือเศียรครู ไปด้วยในทุกหนทุกแห่งโดยทั่วไป ข้าพเจ้าก็จำเป็นที่จะต้องขอร้องท่านผู้อ่านอีกว่า ขอให้ท่านจงเคารพท่านด้วยใจจริง ให้มีความซื่อสัตย์กตัญญูรู้คุณคน ขอให้จงเป็นศิลปินที่ดีของประชาชนโดยไม่หลอกไม่ลวง ไม่หักหลัง ไม่กลั่นแกล้ง ไม่อิจฉาริษยา ไม่นำเอาพ่อแก่ไปทำความเสื่อมเสียหรือจะไม่นำเอาพ่อแก่ออกไปขอทาน มันเป็นการที่ไม่สมควรที่จะต้องงดเว้นขอให้ช่วยกันรักษาศักดิ์ศรีในคำที่ว่าศิลปินให้ยืนยงคงอยู่คู่กับประเทศชาติ และเป็นสมบัติของพวกเราชาวไทยกันให้ยั่งยืนและยาวนานสืบต่อเนื่อง ควรจะอนุรักษ์และเก็บรักษามรดกของไทยอันล้ำค่ามหาศาลนี้เอาไว้ให้นานแสนนานให้ลูกหลานของเราได้หากินสืบต่อๆ กันไป ถ้าหากท่านผู้อ่านทั้งหลายมีจิตใจที่มุ่งมั่นเคารพจงรักพ่อแก่อย่างแท้จริงแล้ว ท่านก็คงจะไม่ทอดทิ้งหรือนิ่งนอนใจ และในไม่ช้าผู้ที่กระทำความดีก็จะต้องมีความเจริญขึ้นไป
 
 
 
 
 
 


[ รวม Tag ทั้งหมด ]

 

 



เมนูหลัก



บทความทั่วไปเกี่ยวกับโหราศาสตร์