เสด็จพ่อ เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพร



 
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ข้าราชการต้นแบบแห่งความกล้าหาญ ความจงรักภักดี และความเมตตาธรรม
 

พระประวัติและพระราชวงศ์สัมพันธ์

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ทรงเป็นพระโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
กับ เจ้าจอมมารดาโหมด ป.จ.
ประสูติเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๒๓
และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖
สิริพระชนมายุ ๔๒ พรรษา

พระองค์ทรงได้รับการอบรมอย่างใกล้ชิดในพระบรมมหาราชวังตั้งแต่เยาว์วัย
ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการทหารและศาสตร์วิทยาการสมัยใหม่เป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาเมื่อมีพระชนมายุครบ ๑๓ พรรษา ได้เสด็จไปศึกษาวิชาการทหารเรือที่ประเทศอังกฤษ
ทรงศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในราชนาวีอังกฤษ จนได้รับยกย่องในความเฉลียวฉลาดและความขยันหมั่นเพียร

เมื่อเสด็จนิวัติกลับประเทศไทย พระองค์ได้เข้ารับราชการใน กรมทหารเรือ
และทรงปฏิบัติหน้าที่ด้วยพระวิริยะอุตสาหะตลอดพระชนม์ชีพ
ทรงอุทิศพระสติปัญญาและกำลังพระวรกาย เพื่อวางรากฐานการพัฒนากองทัพเรือไทยให้มั่นคงถาวร

พระชายา

พระองค์ทรงมีพระชายาและหม่อมในราชสกุลหลายพระองค์ อันเป็นที่เคารพรักในราชสำนัก ได้แก่

  • พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์

  • หม่อมกิม อาภากร ณ อยุธยา

  • หม่อมแฉล้ม อาภากร ณ อยุธยา

  • หม่อมเมี้ยน อาภากร ณ อยุธยา

  • หม่อมช้อย อาภากร ณ อยุธยา

  • หม่อมแจ่ม อาภากร ณ อยุธยา

พระบุตร

พระองค์ทรงมีพระบุตรและโอรสธิดาหลายพระองค์ ซึ่งล้วนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและได้ประกอบคุณงามความดีสืบสกุล อาภากร ณ อยุธยา ได้แก่

  • หม่อมเจ้าเกียรติอาภากร

  • จารุพัตรา ศุภชลาศัย

  • ศิริมาบังอร เหรียญสุวรรณ

  • พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา

  • หม่อมเจ้าสมรบำเทอง อาภากร

  • เริงจิตรแจรง อาภากร

  • หม่อมเจ้าดำแคงฤทธิ์ อาภากร

  • หม่อมเจ้าครรชิตพล อาภากร

  • หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร

  • หม่อมเจ้าสุคนธ์จรุง อาภากร

  • หม่อมเจ้ารุจยากร อาภากร

พระโอรสธิดาทุกพระองค์ล้วนสืบทอดพระปณิธานแห่งความจงรักภักดี ความกล้าหาญ และความเสียสละเพื่อประเทศชาติ ดุจเดียวกับพระบิดา

พระจริยวัตรและคุณธรรม

พระองค์ทรงดำเนินชีวิตอย่างสมถะ เรียบง่าย และใกล้ชิดประชาชน
แม้ทรงเป็นพระราชโอรสแห่งรัชกาลที่ ๕ แต่ไม่ทรงถือพระองค์
ทรงลงเรือ ฝึกทหาร ออกตรวจราชการ และเสวยอาหารเช่นเดียวกับทหารเรือชั้นผู้น้อย

จิตวิญญาณของพระองค์จึงไม่เพียงเป็น “นายทหารเอก” เท่านั้น
แต่ยังเป็น “พ่อของลูกทหารเรือไทย”
และ “ข้าราชการต้นแบบแห่งความดีงาม” ที่สืบต่อความจงรักภักดีต่อแผ่นดินมาจนถึงปัจจุบัน

เสด็จเตี่ย ดวงใจแห่งกองทัพเรือไทย

ในประวัติศาสตร์ชาติไทย มีพระบรมวงศ์เพียงไม่กี่พระองค์ที่ทรงได้รับความรักอย่างลึกซึ้งจากทั้งทหารและประชาชน
หนึ่งในนั้นคือ “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับหม่อมเจ้าหญิงโสภาคนารีรัตน์
ผู้ทรงอุทิศพระวรกายและพระปัญญาทั้งสิ้นเพื่อความเจริญมั่นคงของราชนาวีไทย

พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างอันสูงสุดของ “ข้าราชการทหารผู้รับใช้ชาติด้วยหัวใจ”
ทรงมีพระจริยวัตรเรียบง่าย ไม่ถือพระองค์ และทรงปฏิบัติงานท่ามกลางทหารเรืออย่างเท่าเทียม
จนได้รับพระสมัญญานามจากทหารทั้งหลายว่า

“เสด็จเตี่ย ผู้เป็นพ่อของลูกทหารเรือไทย”

พระประวัติการศึกษา

ทรงสำเร็จการศึกษาด้านการทหารเรือจากประเทศอังกฤษ
และทรงได้รับการยอมรับว่าเป็นนายทหารสยามที่มีความรู้ความสามารถเทียบเท่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ของยุโรปในขณะนั้น

เมื่อเสด็จนิวัติกลับสยาม พระองค์ทรงเข้ารับราชการในกรมทหารเรือ
และทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะพัฒนากองทัพเรือให้ทัดเทียมอารยประเทศ
ด้วยพระปณิธานว่า

“ทหารเรือไทยต้องมีเกียรติ ศักดิ์ศรี และศรัทธาในหน้าที่เหนือสิ่งอื่นใด”

พระกรณียกิจสำคัญ

1. ผู้วางรากฐานการศึกษาและระเบียบวินัยทหารเรือไทย

พระองค์ทรงเป็นผู้ก่อตั้ง โรงเรียนนายเรือ ซึ่งถือเป็นสถาบันผลิตนายทหารเรือแห่งแรกของประเทศ
โดยทรงวางหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีทั้งวิชาทางเรือ วิทยาศาสตร์ และคุณธรรมทางจิตใจ
ทรงเน้นว่า “ผู้บังคับบัญชา ต้องเป็นผู้ที่ลูกน้องรัก ไม่ใช่กลัว”
หลักการนี้กลายเป็นหัวใจของการฝึกทหารเรือไทยมาจนถึงปัจจุบัน

2. ผู้ปฏิรูปกองทัพเรือให้ทันสมัย

พระองค์ทรงนำเทคโนโลยีและยุทธวิธีทางเรือจากอังกฤษมาประยุกต์ใช้ในกองทัพสยาม
ทรงวางระบบเรือรบ การสื่อสารทางทะเล และการฝึกซ้อมรบแบบสากล
ซึ่งถือเป็นรากฐานของยุทธศาสตร์กองทัพเรือไทยยุคใหม่

3. พระเมตตาธรรมและความเป็นกันเอง

สิ่งที่ประชาชนรักพระองค์ไม่ใช่เพียงเพราะความเก่งกล้าในวิชาทหาร
แต่เพราะ “พระเมตตา” ที่ทรงมีต่อทุกผู้คน
พระองค์ทรงช่วยเหลือประชาชนด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
ทรงรักษาโรค แจกจ่ายยา และสอนวิชาแพทย์แผนไทยให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน
จนเป็นที่รู้จักในพระนาม “หมอพร”
ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณของข้าราชการผู้มีเมตตาธรรมอย่างแท้จริง

4. การเสียสละเพื่อแผ่นดิน

พระองค์ทรงปฏิบัติราชการอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
เสด็จออกตรวจราชการเรือรบและหน่วยฝึกในทุกสภาพอากาศ
ทรงร่วมฝึกกับลูกเรืออย่างไม่ถือพระองค์
จนได้รับความเคารพรักจากทหารเรือทั้งประเทศ

พระเกียรติคุณและการยกย่อง

ด้วยพระกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ พระองค์ได้รับการถวายพระสมัญญาเป็น
“พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย”  และทุกวันที่ 19 ธันวาคมของทุกปี
กองทัพเรือจะจัดพิธีถวายราชสักการะ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พุทธศักราช 2466 สิริพระชนมายุ 42 พรรษา
แต่พระนาม “เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” ยังคงสถิตอยู่ในหัวใจของประชาชนตลอดกาล

     
พ.ศ.2423 ประสูติ ณ พระบรมมหาราชวัง พระโอรสในรัชกาลที่ ๕
พ.ศ.2437 เสด็จไปศึกษาทางทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ ได้รับยศเรือโทในราชนาวีอังกฤษ
พ.ศ.2445 เสด็จนิวัติกลับสยาม เข้ารับราชการในกองทัพเรือ เริ่มวางระบบการฝึกและสอนทหารเรือ
พ.ศ.2448 ก่อตั้งโรงเรียนนายเรือ วางหลักสูตรและระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการ
พ.ศ.2453 ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ ปฏิรูปกองทัพเรือให้ทันสมัย
พ.ศ.2466 สิ้นพระชนม์ ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าราชการทุกหมู่เหล่า
 

“เสด็จเตี่ย” มิได้ทรงสอนเพียงการรบในทะเล
แต่ทรงสอนให้ลูกทหารเรือรู้จัก “ต่อสู้กับความทุกข์และอวิชชาในใจตนเอง”
พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างแห่ง “ข้าราชการที่รับใช้ประชาชนด้วยหัวใจ”
ชื่อของพระองค์จึงเป็นอมตะในประวัติศาสตร์แห่งแผ่นดินไทย

 
วันอาภากรตรงกับวันที่ 19 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466) ซึ่งเป็นที่เคารพของทหารเรือไทย ในฐานะที่ทรงเป็นผู้วางรากฐาน และพัฒนากิจการกองทัพเรือไทย จัดตั้งฐานทัพเรือ โรงเรียนนายเรือ กองทัพเรือไทยได้กำหนดให้วันที่ 19 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันอาภากร พร้อมกับขนานพระนามพระองค์ท่านเป็น " องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย " ตั้งแต่ พ.ศ. 2536 
 
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 พระองค์เจ้าชั้นเอก Prince Abhakara Kiartiwongse.jpg เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ดำรงตำแหน่ง 1 เมษายน พ.ศ. 2423 - 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ก่อนหน้า สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ถัดไป สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
 
 
 
“เรือนหมอพร” 
สถาปัตยกรรมแห่งพระเมตตา และร่องรอยแห่งพระบารมีของเสด็จเตี่ย
 
เรือนหมอพร...เรือนไม้สองชั้นอันเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา
ตั้งสงบงามอยู่ภายในบริเวณ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพณิชยการพระนคร
หรือที่รู้จักในปัจจุบันว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ศูนย์พณิชยการพระนคร
สถานที่แห่งนี้มิได้เป็นเพียงอาคารเก่าที่หลงเหลือจากยุคหนึ่งของสยามเท่านั้น
หากแต่เป็น “เรือนแห่งความทรงจำ” ที่สืบสายพระเมตตาและคุณธรรมของ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ — พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย
 

พระชายาและเจ้าของเรือน

เรือนหลังนี้เดิมเป็นของ หม่อมเมี้ยน อาภากร ณ อยุธยา พระชายาในกรมหลวงชุมพรฯ
ผู้เป็นสตรีกุลสยามที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีและอ่อนโยนดุจผ้าแพรแห่งความทรงจำ
เรือนหมอพรจึงเปรียบเสมือนสถานที่ซึ่งสะท้อนความรัก ความอบอุ่น และพระเมตตา
ที่พระองค์ทรงมีต่อครอบครัวและประชาชน

สถาปัตยกรรมและศิลปะแห่งยุค

ตัวเรือนเป็น เรือนไม้สองชั้น สร้างด้วยศิลปกรรมแบบ นีโอ–คลาสสิก (Neo-Classic)
แต่ได้รับการปรับให้เข้ากับภูมิอากาศในเขตร้อนของสยาม
หลังคาทรงสูงปีกนกป้องกันฝนแดด หน้าต่างบานไม้กว้างเปิดรับลม
ลวดลายฉลุไม้ละเอียดอ่อน บ่งบอกถึงความประณีตของช่างในยุคปลายรัชกาลที่ ๕

สถาปัตยกรรมลักษณะนี้นิยมอย่างมากในหมู่ ขุนนาง คหบดี และชนชั้นกลางชาวสยาม
เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างความหรูหราตะวันตกกับเสน่ห์อ่อนช้อยแบบไทย
เรือนหมอพรจึงเป็นตัวแทนของยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านจาก “สยามเก่า” สู่อารยประเทศอย่างงดงาม

การอนุรักษ์และเรื่องราวต่อมา

ในปี พุทธศักราช ๒๔๗๙ กรมอาชีวศึกษา ได้ขอซื้อที่ดินพร้อมบ้านเรือนไม้สองหลัง
จาก หม่อมเมี้ยน อาภากร ณ อยุธยา และ หม่อมเจ้ารุจยากร อาภากร
เพื่อใช้เป็นพื้นที่ขยายโรงเรียนพณิชยการพระนครในเวลานั้น

ต่อมาบ้านอีกหลังได้ถูกรื้อถอนไป เหลือเพียงเรือนหลังนี้เพียงหลังเดียว
จึงได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ศูนย์พณิชยการพระนคร
และได้กลายเป็น “เรือนประวัติศาสตร์” ที่ชาวพณิชยการพระนครทุกยุคสมัยภาคภูมิใจ

 
เรือนแห่งพระเมตตา “หมอพร”  ชื่อ “เรือนหมอพร” มิใช่เพียงคำเรียกตามความทรงจำของคนรุ่นเก่า
แต่เป็น “นามศักดิ์สิทธิ์” ที่สืบทอดจากพระนามในอีกภาคหนึ่งของ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
เมื่อครั้งทรงใช้พระนาม “หมอพร” ออกช่วยเหลือประชาชน
รักษาโรคภัย แจกจ่ายยา และเยียวยาทั้งกายและใจของผู้ทุกข์ยาก
จนกลายเป็นที่เคารพศรัทธาทั่วแผ่นดิน

เรือนหลังนี้จึงเสมือน สัญลักษณ์แห่งพระเมตตา
ที่สะท้อนพระจริยวัตรเรียบง่าย อ่อนโยน แต่ทรงพลังแห่งความดี
ผู้คนจึงเรียกขานด้วยความรักว่า “เรือนหมอพร”  เรือนแห่งพระผู้รักษาและผู้ให้

มรดกทางวัฒนธรรมและความทรงจำ

วันนี้ “เรือนหมอพร” ได้รับการบูรณะให้คงสภาพดั้งเดิม
เพื่อใช้เป็นสถานที่รำลึกถึงพระเกียรติคุณแห่งเสด็จเตี่ย
รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรมของชาติ
เรือนไม้สีฟ้าอ่อนหลังคาแดงสด ยังคงยืนหยัดอย่างสง่างามท่ามกลางความเจริญของกรุง
ราวกับจะกล่าวกับผู้คนทุกยุคสมัยว่า

“พระเมตตาของเสด็จเตี่ย ยังคงสถิตอยู่ ณ ที่นี้ตลอดกาล”
 
 
 


[ รวม Tag ทั้งหมด ]

 

 



เมนูหลัก



บทความทั่วไปเกี่ยวกับโหราศาสตร์