|
องค์เทพฟุซี ปรมาจารย์ฝูซีซือ (FU XI) หรือ ฮกฮีสี (อีกตำราหนึ่ง) |
เทพฟุซี หรือเทพฝูซี ตามสำเนียงมาตรฐาน หรือ ฮอกฮี ตามสำเนียงฮกเกี้ยน (伏羲) ยังมีชื่ออื่นอีกว่า เผาซี (庖犧) |
เป็นวีรบุรุษทางวัฒนธรรมตามตำนานจีนและเทพปกรณัมจีน เป็นที่นับถือพร้อมกับนฺหวี่วา (จีน: 女媧; พินอิน: Nǚwā) ว่า เป็นผู้ก่อกำเนิดมนุษยชาติ สร้างสรรค์การล่าสัตว์ การประมง และการประกอบอาหาร รวมถึงคิดค้นระบบการเขียนแบบชางเจี๋ย (倉頡) เมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล นอกจากนี้ ยังนับเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกของจีนในกลุ่มสามกษัตริย์ และนับถือว่า เป็นเทวดาผู้ชี้แนะให้ชาวจีนโบราณรู้จักการเลี้ยงสัตว์
ความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของจีน อักษรจีน 开天辟地 (เป็นสำนวนจีนที่แปลตรงตัวว่า "เปิดฟ้าแหวกแผ่นดิน" มีความหมายโดยนัยคือ การเริ่มต้นสิ่งใหม่หรือการริเริ่มสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สำนวนนี้มักใช้เพื่ออธิบายการกระทำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญหรือการบุกเบิกอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น การสร้างชาติหรือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในประวัติศาสตร์) เป็นนิทานปรัมปราที่เล่าสืบกันมาแต่โบราณว่า
โลกเดิมทีเป็นฟองไข่ทรงกลม ที่ภายในมียักษ์ตนหนึ่งที่มีผมเผ้าและหนวดเครายาว มีร่างกายยาวถึง 90,000 ลี้ (ประมาณ 45,000 กิโลเมตร) ชื่อ ผานกู่ 盘古เป็นเทพในตำนานจีนที่เชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างโลกในตำนานพื้นบ้านจีน การสร้างโลกของผานกู่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล ตามความเชื่อพื้นฐานนี้ ผานกู่เป็นตัวแทนของการเกิดขึ้นของจักรวาลและการเริ่มต้นของเวลา สรุปประวัติของผานกู่ตามตำนานจีนมีดังนี้:
1. การกำเนิดของผานกู่ ผานกู่เกิดจาก "ไข่จักรวาล" (Cosmic Egg) ที่ลอยอยู่ในความว่างเปล่าในช่วงเริ่มต้นของจักรวาล ตำนานกล่าวว่า ภายในไข่นี้มีพลังงานสองด้าน คือ "หยิน" และ "หยาง" ซึ่งเป็นพลังที่ตรงข้ามกันแต่สมดุล หลังจากที่ผานกู่ฟักออกมาจากไข่ เขาได้แยกฟ้ากับดินออกจากกัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างโลก
2. การสร้างฟ้าและดิน ผานกู่แยกฟ้าและดินโดยถือค้อนและสิ่ว ในขณะที่เขาแยกฟ้า (หยาง) ขึ้นสูงและดิน (หยิน) ลงต่ำ ระหว่างที่เขาเติบโต ฟ้าก็ยิ่งสูงขึ้นและดินก็ยิ่งหนาขึ้น ผานกู่ทำงานนี้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 18,000 ปี
3. การสละชีวิตเพื่อสร้างโลก เมื่อฟ้าและดินถูกแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ ผานกู่ก็สิ้นชีวิต หลังจากที่เขาเสียชีวิต ร่างกายของเขาก็ได้กลายเป็นส่วนประกอบของโลก:
ผ่านไปหลังจากนั้นอีกเนิ่นนาน เจ้าแม่หนี่วา (女媧) ได้ลงมาท่องเที่ยวชมพื้นโลก และชื่นชมว่าโลกเป็นสถานที่ ๆ น่าอยู่ยิ่งนัก เมื่อนางได้ใช้นิ้วจิ้มดินและเศษดินตกลงสู่น้ำก็กลายเป็นลูกอ๊อด องค์เจ้าแม่หนี่วา ทรงดีพระทัยยิ่งนัก จึงใช้ดินปั้นเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ จึงกำเนิดขึ้นเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ แต่นางรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป ในวันที่ 7 พระนางจึงเริ่มปั้นรูปเหมือนตัวพระนางขึ้น เกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิงขึ้น และพระนางเกรงว่ามนุษย์ผู้หญิงนี้จะเหงา จึงปั้นรูปใหม่ขึ้นมาให้คล้ายเคียงกันเป็นมนุษย์ผู้ชาย และให้มนุษย์ทั้ง 2 เพศนี้อยู่คู่กันและออกลูกหลานสืบต่อกันมา
ต่อมา ฟูซี (伏羲) ซึ่งเป็นผู้ปกครองชนเผ่าของมนุษย์ได้สังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของธรรมชาติ จนสามารถพึ่งตัวเองได้และเกิดเป็นองค์ความรู้ วันหนึ่งมีกิเลนตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากแม่น้ำฮวงโห บนหลังกิเลนมีสัญลักษณ์ปรากฏที่ถูกเรียกในภายหลังว่า "แผนภูมิเหอถู" (河图) ซึ่งต่อมาได้พัฒนากลายเป็นตัวอักษร
หลังยุคฟูซี เสินหนง (神農) ได้เป็นผู้ปกครองแทน เสินหนงได้สอนให้ผู้คนรู้จักการเพาะปลูก และใช้คันไถ และยุคต่อมาก็คือ ยุคของหวงตี้ (黃帝) หรือ จักรพรรดิเหลือง หวงตี้ได้ทำสงครามกับเหยียนตี้ที่ปั่นเฉวียน (阪泉) สุดท้ายเหยียนตี้พ่ายแพ้ หวงตี้จึงขยายอำนาจการปกครองจากทางตอนเหนือลงไปทางใต้ จนถึงลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงและฮั่นสุ่ย ซึ่งหวงตี้ได้รับการนับถือจากชาวจีนรุ่นต่อมาว่าเป็น ฮ่องเต้หรือจักรพรรดิองค์แรกของจีน และชื่อของพระองค์ก็กลายมาเป็นคำว่า ฮ่องเต้ หรือ จักรพรรดิ ความหมายของชื่อก็กลายมาเป็นสีประจำตัวฮ่องเต้ด้วย คือ สีเหลือง ชาวจีนเชื่อว่า ในราชวงศ์ชั้นหลัง เช่น ราชวงศ์เซี่ย, ราชวงศ์ซาง, ราชวงศ์โจว ต่อมาต่างก็สืบเชื้อสายจากหวงตี้ทั้งนั้น
หลังยุคหวงตี้ เป็นยุคของเชาเหา (少昊) และ ซวนซู (顓頊) ซึ่งในยุคนี้ได้กำเนิดดาราศาสตร์, ปฏิทิน, ความเชื่อ, ไสยศาสตร์และเรือ ต่อมาจึงเป็นยุคของ กู (帝嚳) และ เหยา (尧) ซึ่งในยุคนี้พระอาทิตย์มีมากมายพร้อมกันถึง 10 ดวง และต่างพากันเปล่งรัศมีความร้อนแรงมายังโลกมนุษย์ ทำให้เดือดร้อนกันมาก เง็กเซียนฮ่องเต้จึงมีบัญชาให้ โหวอี้ นักยิงธนูบนสวรรค์ลงไปยังโลกมนุษย์เพื่อจัดการ โหวอี้ใช้ธนูยิงดวงอาทิตย์ตกไปถึง 9 ดวง และตำนานโฮ๋วอี้ยิงดวงอาทิตย์ 9 ดวงนี้ก็ก่อให้เกิดตำนาน เทพธิดาฉางเอ๋อ เหาะไปดวงจันทร์และเป็นต้นกำเนิดเทศกาลไหว้พระจันทร์ของจีน
ต่อมาเป็นยุคของซุน (舜) และ อวี่ (禹) ในยุคของอวี่ได้เกิดอุทกภัย (大禹治水) และอวี่สามารถสร้างเขื่อนควบคุมกระแสน้ำได้สำเร็จ โดยไม่ได้กลับบ้านเป็นระยะเวลานานถึง 9 ปี และวันหนึ่งก็ได้มีเต่าศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งผุดขึ้นมาจากแม่น้ำลั่ว บนกระดองเต่ามีอักษรที่ต่อมาเรียกว่า "แผนภูมิลั่วซู" (洛书) ซึ่งกลายมาเป็นศิลปะวิทยาการต่าง ๆ สืบมาจนปัจจุบัน
ภายหลังจากอวี่เสียชีวิตลง บุตรชายของอวี่ก็สังหารอี้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้า และเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งการสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าโดยสายเลือดในระบบวงศ์วานว่านเครือ และหลังจากนั้น ประวัติศาสตร์จีนก้าวเข้าสู่ราชวงศ์แรกที่มีการสืบทอดบัลลังก์อำนาจโดยสายเลือด นั่นคือ จุดกำเนิดของราชวงศ์เซี่ย (夏代) ราชวงศ์แรกของจีน
|
![]() |
|