ตฤมศำศกับเบญจขันธ์



ตฤมศำศกับเบญจขันธ์
 
คำว่า  ตฤมศำศ  อ่านว่า "  ตฺรึ-มะ-สัม-สะ "

โดยคำว่า ตฤมศำศ มาจากภาษาสันสกฤตที่หมายถึง ๓๐ ส่วน หรือ ๓๐ องศาในหนึ่งราศี ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแบ่งราศีออกเป็น 5 ส่วน แต่ละส่วนมีดาวเคราะห์ประจำอยู่ในทางโหราศาสตร์

ส่วนคำว่า เบญจขันธ์ 

  • เบญจ (เบ็น-จะ) หมายถึง "ห้า"
  • ขันธ์ (ขัน) หมายถึง "หมวดหมู่" หรือ "องค์ประกอบ"
  • เบญจขันธ์จึงหมายถึง "ขันธ์ห้า" หรือองค์ประกอบของชีวิต 5 ส่วน ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ตามหลักพุทธศาสนา

ตฤมศำศกับเบญจขันธ์ หรือการแบ่งราศีและบทบาทของดาวเคราะห์ในโหราศาสตร์

ความหมายของตฤมศำศ

ตฤมศำศ” (ตฺรึ-มะ-สัม-สะ) เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง “๓๐ ส่วน” หรือ “๓๐ องศาในหนึ่งราศี” ซึ่งแต่ละราศีในจักรราศีมีทั้งหมด 30 องศา และในวิชาโหราศาสตร์อินเดีย ได้มีการแบ่ง 30 องศานี้ออกเป็น 5 ส่วนเท่า ๆ กัน เรียกว่าตฤมศำศ โดยแต่ละส่วนจะมีดาวเคราะห์ประจำอยู่เพื่อกำหนดคุณสมบัติและอิทธิพลของแต่ละช่วงองศาในราศีนั้น ๆ

การแบ่งราศีออกเป็น 5 ส่วนนี้ มีรากฐานมาจากความเชื่อที่ว่าดาวเคราะห์สามารถส่งอิทธิพลเฉพาะด้านไปยังส่วนต่าง ๆ ของราศี ซึ่งมีความสัมพันธ์กับแนวคิดเรื่อง “ขันธ์ห้า” (เบญจขันธ์) ในพระพุทธศาสนา ที่เป็นองค์ประกอบหลักของสรรพสิ่ง
 

การแบ่งตฤมศำศและอิทธิพลของดาวเคราะห์

ตฤมศำศเป็นการแบ่งราศีเป็น 5 ส่วน โดยให้ดาวเคราะห์ 5 ดวงเข้าครองแต่ละส่วน ซึ่งประกอบไปด้วย:

  1. ดาวอังคาร (๓) – ครองส่วนแรกของราศีเพศชาย และส่วนสุดท้ายของราศีเพศหญิง

  2. ดาวเสาร์ (๗) – ครองส่วนที่สองของราศีเพศชาย และส่วนที่สี่ของราศีเพศหญิง

  3. ดาวพฤหัสบดี (๕) – ครองส่วนกลางของราศีเพศชายและหญิง

  4. ดาวพุธ (๔) – ครองส่วนที่สี่ของราศีเพศชาย และส่วนที่สองของราศีเพศหญิง

  5. ดาวศุกร์ (๖) – ครองส่วนสุดท้ายของราศีเพศชาย และส่วนแรกของราศีเพศหญิง

การแบ่งเช่นนี้ทำให้เกิดราศีสองประเภท:

  • ราศีเพศชาย – ได้แก่ ราศีเมษ, มิถุน, สิงห์, ตุลย์, ธนู และกุมภ์ โดยดาวอังคารเป็นผู้ครองส่วนต้นของราศี

  • ราศีเพศหญิง – ได้แก่ ราศีพฤษภ, กรกฎ, กันย์, พิจิก, มังกร และมีน โดยดาวศุกร์เป็นผู้ครองส่วนต้นของราศี

การพิจารณาตำแหน่งของลัคนา หรือ “สมผุสของลัคนา” ในราศีต่าง ๆ สามารถใช้ตฤมศำศเพื่อช่วยวิเคราะห์ลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ และแนวโน้มชีวิตของเจ้าของดวงชะตาได้
 

ตฤมศำศกับเบญจขันธ์

ในพระพุทธศาสนา เบญจขันธ์ เป็นหลักสำคัญที่อธิบายโครงสร้างของสรรพสิ่งและการดำรงอยู่ของมนุษย์ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับการแบ่งตฤมศำศในโหราศาสตร์ได้ดังนี้:

  1. รูปขันธ์ (กายภาพ) – ดาวพฤหัสบดีเป็นตัวแทนของร่างกายและสภาพทางกายภาพของบุคคล

  2. เวทนาขันธ์ (ความรู้สึก) – ดาวศุกร์เป็นตัวแทนของความรู้สึก สุข ทุกข์ และอารมณ์

  3. สัญญาขันธ์ (การรับรู้และจดจำ) – ดาวพุธเป็นตัวแทนของความสามารถในการจดจำและกระบวนการคิด

  4. สังขารขันธ์ (การปรุงแต่งทางจิตใจ) – ดาวอังคารเป็นตัวแทนของแรงขับเคลื่อน ความคิดสร้างสรรค์ และความกระตือรือร้น

  5. วิญญาณขันธ์ (การรับรู้ทางจิตวิญญาณ) – ดาวเสาร์เป็นตัวแทนของสติปัญญาและความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ
     

วิธีนำตฤมศำศมาใช้ในการพยากรณ์

เมื่อผูกดวงชะตา สามารถใช้ตฤมศำศเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ว่า ลัคนาหรือดาวเคราะห์สำคัญในดวงชะตาตกอยู่ในส่วนใดของราศี ซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ:

  • ลักษณะนิสัยของเจ้าชะตา – เช่น ถ้าลัคนาตกอยู่ในส่วนของดาวอังคาร อาจแสดงถึงบุคคลที่กล้าหาญและมีพลังงานสูง

  • แนวโน้มชีวิตและความถนัด – เช่น หากดาวพฤหัสบดีครองลัคนา อาจหมายถึงบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถในการให้คำแนะนำ

  • พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน – เช่น คนที่มีสัญญาขันธ์เด่นจากดาวพุธ อาจเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมและเรียนรู้เร็ว
     

ศาสตร์ของ ตฤมศำศ เป็นการแบ่งราศีออกเป็น 5 ส่วนเพื่อศึกษาผลกระทบของดาวเคราะห์ที่มีต่อบุคคลและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับแนวคิดของ เบญจขันธ์ ในพระพุทธศาสนา แนวทางนี้ช่วยให้โหราศาสตร์สามารถใช้เป็นเครื่องมือที่แม่นยำในการวิเคราะห์ดวงชะตา และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อทำความเข้าใจบุคลิกภาพและแนวโน้มของชีวิตได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ตฤมศำศจึงเป็นศาสตร์ที่สำคัญและสามารถใช้ประกอบการพยากรณ์ในระดับลึก เพื่อให้เข้าใจความเชื่อมโยงของดวงดาวกับลักษณะนิสัยและเส้นทางชีวิตของมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ
 
 
 
 ตฤมศำศกับเบญจขันธ์
(โดย อาจารย์ เศก ดุสิต)

ความหมายและการตีความ
ตฤมศำศ ตามบทความนี้มีความหมายว่า "๓๐ ส่วน" หรือ "๓๐ องศาใน 1 ราศี" ซึ่งในราศีหนึ่งจะมีองศาทั้งหมด 30 องศา
ในการแบ่ง 1 ราศีออกเป็น 5 ส่วนนี้ แต่ละส่วนจะมีดาวเคราะห์เข้าครอง โดยแต่ละดาวเคราะห์จะมีบทบาทในลักษณะของ "ขันธ์" ซึ่งในที่นี้หมายถึงส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่มีความแตกต่างกัน เช่น รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ โดยนำดาวเคราะห์มาจัดให้อยู่ประจำแต่ละขันธ์ตามบทบาทของดาวดวงนั้น ๆ 
 
โครงสร้างการแบ่งราศีและความเชื่อในบทบาทของดาวเคราะห์ บทความกล่าวถึงการแบ่งราศีเพศชายและเพศหญิง โดยมีการแบ่งดาวเคราะห์เข้าครองแต่ละส่วน หรือแต่ละขันธ์ ตามลำดับขององศา:
 
ราศีเพศชาย ดาวอังคารครองตั้งแต่ต้นราศี ตามด้วยเสาร์, พฤหัสบดี, พุธ และศุกร์ ตามลำดับ
 
ราศีเพศหญิง ลำดับดาวจะกลับกัน โดยดาวศุกร์เป็นผู้ครองตั้งแต่ต้นราศี ตามด้วยพุธ, พฤหัสบดี, เสาร์ และอังคาร
การแบ่งเช่นนี้มีจุดประสงค์ในการใช้ประกอบการตรวจดวงชะตา โดยวิเคราะห์ดูว่า "สมผุสของลัคนา" (ตำแหน่งของลัคนาในแผนที่ดวง) อยู่ในส่วนใดหรือครองขันธ์อะไร ซึ่งจะบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยและจริตของเจ้าของดวง
ว่าด้วย “ ตฤมศำศ ”
 
 วิชาโหราศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของ “ตฤมศำศ” นี้ ความจริงแล้วโหรไทยของเราได่ขอยืมเอาของภารตะมาใช้ และเรียกว่าดวง “วิภาคจักรราศี” บ้าง เรียกว่า ดวง “ขันธ์ห้า” บ้าง แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ตฤมศำศ นี้ก็คือการแบ่งราศีออกเป็นห้าส่วนและมีดาวเคราะห์ครองส่วนละหนึ่งองค์ หรือเรียกว่าองค์ละหนึ่งขันธ์ก็ได้
 
การแบ่งเป็นองค์ละหนึ่งขันธ์นี้  จะทำให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นถึงวิธีการที่จะนำมาใช้ในการพยากรณ์ เพราะเกจิอาจารย์ท่านได้แบ่งขันธ์ห้านี้ออกเป็นสัดส่วนและมีความหมายต่างกันเป็นห้าอย่าง ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไปในภายหลัง
 
            แท้จริงแล้ว คำว่า “ตฤมศำศ” นี้ถ้าแปลตามตัวก็จะแปลว่า ๓๐ ส่วน หรือ ๓๐ องศาใน ๑ ราศี นั่นเอง เมื่อ ๑ ราศีมี ๓๐ องศาเช่นนี้ ท่านก็แบ่งราศีนี้ออกเป็นห้าส่วนอย่างที่กล่าวมาแล้ว และให้ดาวเคราะห์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (ยกเว้นอาทิตย์และจันทร์ซึ่งถือเป็นดาวประธานแห่งจักรภพ) ทั้งห้าดวงเข้ามาครองสัดส่วนนั้นโดยแบ่งเป็นราศีเพศชายและเพศหญิง ดาวเคราะห์ทั้งห้านั้นมีดังนี้คือ :-
 
            อังคาร (๓) , เสาร์ (๗) , พฤหัสบดี (๕) , พุธ (๔) , ศุกร์ (๖) .
 
            ในราศีเพศชายคือราศีเมษ, มิถุน, สิงห์, ตุลย์, ธนู, กุมภ์ นั้น ให้ดาวอังคารซึ่งเป็นตัวแทนแสดงเพศชายเป็นตัวครองแต่ต้นราศี คือองศา 0-5 เสาร์ครองแต่ 5.01-10 พฤหัสบดีครองแต่องศา 10.01-18.00 พุธครองแต่องศา 18.01-25.00 และศุกร์ครองแต่องศา 25.01-30.00 เป็นอันจบราศี
 
            สรุปก็คือ อังคาร , เสาร์ , ศุกร์ , ครองส่วนละ 5 องศา  พฤหัสบดีครองส่วยละ 8 องศา พุธครองส่วนละ 7 องศา
 
            ในราศีเพศหญิง การครองส่วน (หรือขันธ์) นี้จะกลับกันกับราศีเพศชาย คือเมื่อเป็นราศีเพศหญิงก็จะนำเอาดาวศุกร์ ซึ่งเป็นตัวแทนแสดงเพศหญิงมาเป็นตัวครองแต่ต้นราศี โดยให้ดาวเคราะห์เรียงกันมาแต่ท้ายหาต้น อ ศุกร์ , พุธ , พฤหัสบดี , เสาร์ , และ อังคาร  โดยให้อาณาเขตการครององศาเหมือนกันทุกประการ  คือพฤหัสบดี ครอง 8 องศา พุธ 7 องศา นอกนั้น ครอง 5 องศา เช่นเดิม
 
            ขันธ์ทั้ง 5 มีอะไรบ้าง? 
 
            ใครที่มีความรู้ทางธรรมอยู่บ้าง ก็คงจะไม่ต้องถามคำถามนี้แน่ เพราะขันธ์ห้านี้ก็คือ รูป และนาม ในทางธรรมนั่นเอง ซึ่งในชีวิตทุกชีวิตจะต้องประกอบไปด้วยขันธ์ห้านี้ทั้งนั้น ทางพระท่านเรียกว่าห้ากอง คือในชีวิตของเราแต่ละคนนี้จะมีส่วนสำคัญที่บงการชีวิตเราอยู่นี้ 5 ส่วน หรือ 5 กอง ที่ว่านี้แหละ แต่ละกองหรือขันธ์นี้ท่านเรียกชื่อว่า 
 
1.  รูป
2.  เวทนา
3.  สัญญา
4.  สังขาร
5.  วิญญาณ
 
ขออธิบายอย่างคร่าว ๆ ไว้ก่อนว่า แต่ละขันธ์นั้นหมายความถึงอะไร
 
รูป  หมายถึงวัตถุที่เป็นแท่งก้อน ที่สายตาเรามองเห็น สิ่งที่เราจับต้องได้
เวทนา คือความรู้สึกที่เกิดกับเรา เช่น ได้เห็น , ได้ยิน , ได้ลิ้ม , ได้สัมผัส , ฯลฯ
สัญญา  คือการจำได้ เช่นเห็นดอกไม้นี้ก็จำได้ว่าเป็นดอกกุหลาบเป็นต้น
สังขาร หมายถึงการปรุงแต่งของจิตใจ เช่น รัก , เกลียด , เบื่อ , เซ็ง , เป็นต้น
วิญญาณ หมายถึงธาตุรู้ เช่น ได้ยินเสียงรู้ว่าได้ยิน  ตามองวัตถุก็รู้ว่าได้เห็น
 
ขันธ์ทั้ง 5 นี้ เกจิอาจารย์ท่านก็ได้จัดแบ่งให้ดาวเคราะห์ทั้ง 5 ดวงที่ว่ามาแล้วนั้นเข้าครองขันธ์แต่ละขันธ์  เพื่อทำหน้าที่ไปตามความหมายของขันธ์นั้น ๆ
 
 ขันธ์ที่ 1 คือ รูป ให้ดาวพฤหัสบดีเข้าครองเป็นรูปขันธ์ รูปนี้ยังแบ่งเป็น 2 ประเภทอีก คือ รูปที่มีวิญญาณครอง และ รูปที่ไม่มีวิญญาณครอง รูปที่มีวิญญาณก็คือคนและสัตว์ทั้งหลายนี้แหละ และหมายถึง เนื้อ หนัง กระดูก  ในร่างกายทั้งหมดจองคนและสัตว์นี้ด้วย ส่วนรูปที่ไม่มีวิญญาณก็คือพวกภูเขา ทะเล ก้อนหินก้อนกรวด แม้แต่ต้นไม้ก็ถืออยู่ในรูปนี้ด้วย  เพราะต้นไม้ถึงจะมีชีวิตแต่ก็ไม่มีวิญญาณครอง
 
            ในส่วนของโหราศาสตร์ เราก็จะใช้รูปที่หมายถึงคนเรานี่เท่านั้น  พฤหัสบดีทำหน้าที่ครองส่วนที่เป็นรูป การตรวจดูถึงรูปกายหรือความสุขความทุกข์ของกายจึงต้องใช้ดาวพฤหัสบดีนี้เป็นตัวกำหนด เพราะรูปคนย่อมแตกต่างกัน เช่นบางคนดำบางคนขาว บางคนอายุสั้นบางคนอายุยืน บางคนขี้โรคแต่บางคนแข็งแรง อะไรเหล่านี้เป็นต้น   
 
            ขันธ์ที่ 2 คือ เวทนา ให้ดาวศุกร์เข้าครองเป็นเวทนาขันธ์ เวทนาคือความรู้สึกต่าง ๆ เป็นสุขเป็นทุกข์ ร่าเริงหรือซึมเศร้า จู้จี้ขี้บ่นหรือหงุดหงิดเก่ง วันหนึ่ง ๆ ของ คนเรามักประสบกับความรู้สึกหลายอย่าง  แต่ส่วนที่มักจะเป็นสันดานอยู่ตามบุคคลนั้นจะต้องตรวจดูที่ดาวศุกร์หรือขันธ์ของดาวศุกร์ คนที่มีเวทนาขันธ์เสีย ก็มักจะเป็นคนทุกข์ คิดมากหมกมุ่นแต่ ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอะไรเหล่านี้เป็นต้น
 
            ขันธ์ที่ 3 คือ สัญญา หมายถึงการจำได้หมายรู้ ให้ดาวพุธเป็นดาวประจำสัญญาขันธ์ คนที่มีสัญญาขันธ์เด่นมั่นคง จะเป็นคนที่มีความทรงจำดี หัวไว ปฏิภาณเด่น  มีไหวมีพริบ บุคคลที่สัญญาขันธ์เสีย มักจะขี้หลงขี้ลืม ถูกหลอกลวงง่าย ไม่ทันคน ติดต่อกับใครไม่ค่อนสำเร็จ ถ้าเสียมาก  ก็อาจจะเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ เสียจริตไปได้เลย
 
            ขันธ์ที่ 4 คือสังขาร อันนี้ไม่ได้แปลว่าร่างกายอย่างที่เราเคยใช้กัน ในทางธรรมหมายถึงการปรุงแต่ง ปรุงแต่งอะไร ก็ปรุงแต่งอารมณ์ที่เวทนาทำให้เกิดขึ้นนั่นไง จะรักจะชังจะเบื่อจะเซ้งก็เจ้าตัวสังขารนี่แหละ จะทุกข์ จะสุขก็เจ้าสังขารนี่แหละ  ด้วยเหตุนี้เจ้าสังขารจึงมักจะต้องทำงานหนักมาก ต้องคล่องแคล่วว่องไว ไม่งั้นจะทำงานไม่ทันกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุผลนี้กระมัง เกจิอาจารย์ท่านจึงมอบหน้าที่ให้ ดาวอังคาร เข้าครองประจำสังขารขันธ์ ฉะนั้นคนที่มีสังขารขันธ์เด่น จึงมักจะเป็นคนที่มีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว(อาจดีหรือชั่วก็ได้)  แต่จะเป็นคนที่ผู้อื่นมองเห็นว่าเป็นผู้ที่มีศักยภาพสูง ตรงข้ามกับผู้ที่มีสังขารขันธ์เสงี่ยม จะมองเห็นว่าเป็นผู้ที่ศักยภาพต่ำ หรือเป็นคนที่ไม่มีอารมณ์ไปเลย
 
            ขันธ์ที่ 5 คือ วิญญาณ ที่มีความหมายว่าธาตุรู้ (ไม่ใช่วิญญาณที่ออกจำร่างเมื่อตายแล้วหรอกนะ) ดาวเสาร์รับหน้าที่ครองวิญญาณขันธ์ บุคคลที่มีวิญญาณขันธ์เข็มแข็ง ก็จะเป็นผู้ที่สมบูรณ์ในความรู้เรื่องของอวัยวะต่าง ๆ เช่นไม่พิการ เมื่อเรามองสิ่งใดเห็นชัด นั่นเป็นเพราะเรามี จักขุวิญญาณ ที่ดี คนตาบอดจะเป็นผู้ที่มีมีจักขุวิญญาณ หรือคนหูหนวกคือคนที่ไม่มีโสดวิญญาณเป็นต้น วิญญาณขันธ์จะทำหน้าที่จากภายในมาสู่ภายนอก เช่นทำให้เป็นคนช่างคิด ช่างฝัน เจ้าทุกข์ เงียบขรึม วิญญาณขันธ์จรเข้าภพมรณะวินาศน์กับลัคน์ก็ต้องระวังให้ดี จะทำให้ธาตุรู้บางอย่างเสื่อมลงไป อย่างนี้เป็นต้น
 
สรุปแล้วก็คือ เมื่อผูกดวงชาตาขึ้นมาแล้ว ก็ตรวจดูว่าสมผุสของลัคนาเจ้าของดวงนั้นอยู่ในขันธ์อะไร ก็จะทำให้จริตนิสัยของผู้นั้นเป็นไปตามขันธ์ดังกล่าว ตรวจดูว่าดาวประจำขันธ์นั้นมีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอ ครองภพอะไร สัมพันธ์ดีกับลัคนาหรือดาวนดวงอย่างไร สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลในการตรวจดวงได้เป็นอย่างดี
 
     ความจริงแล้ว การใช้ ตฤมศำศ นี้ยังมีวิธีใช้อย่างอื่นอีก  แม้แต่การใช้ในดวงจรก็นำมาใช้ได้ดี เท่านี้นำมาบรรยายให้รู้ในครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น โอกาสหน้าถ้ามีเวลาพอก็อาจจะนำมาบรรยายเพิ่มกันต่อไป
 
 


[ รวม Tag ทั้งหมด ]

 

 



เมนูหลัก



บทความทั่วไปเกี่ยวกับโหราศาสตร์