หลักการตั้งชื่อเบื้องต้น

 
 

 

 

ศาสตร์แห่งการตั้งชื่อ ศิลปะแห่งชีวิตที่ต้องรู้ให้ลึก และเข้าใจจริง

 

เรื่องของการตั้งชื่อนั้น หลายคนมักมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ยากนัก… แต่แท้จริงแล้ว หากการตั้งชื่อเป็นเพียงแค่การทำไปโดย มักง่าย ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการตั้งชื่อที่แท้จริง เพราะการตั้งชื่อให้มีพลังที่ดี ส่งเสริมชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การตั้งชื่อที่ถูกต้องเปรียบเสมือนการวาดแผนที่ชีวิต หากขาดความประณีต รอบคอบ และความรู้ลึกซึ้ง ชื่อนั้นอาจกลายเป็นอุปสรรคในชีวิตแทนที่จะเป็นพลังบวก

การตั้งชื่ออย่างมักง่าย คืออันตรายที่มองไม่เห็น

การตั้งชื่อแบบง่ายๆ เพียงแค่เปิดตารางทักษา หยิบอักษรจากวรรคเดชหรือวรรคศรีมาใส่ อาจดูเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก แต่ในความเป็นจริง มันตื้นเขินและอาจนำมาซึ่งความ วิบัติ แก่ชีวิตเจ้าของชื่อ ชื่อที่ปราศจากการพิจารณาอย่างรอบคอบ อาจก่อให้เกิดความทุกข์ยาก เจ็บป่วย หรือแม้กระทั่งเคราะห์ร้ายจนถึงขั้นต้องพัวพันกับคดีความ ชีวิตที่ควรเจริญรุ่งเรืองกลับกลายเป็นวนเวียนอยู่ในความวุ่นวายอย่างไม่จบสิ้น

ผู้ที่ตั้งชื่อโดยขาดความใส่ใจ อาจได้รับผลประโยชน์ชั่วคราวจากค่าครู แต่สิ่งที่ตามมาคือ กรรม ที่จะย้อนกลับมายังตนเองและครอบครัว หมอดูที่รับตั้งชื่อโดยไม่เข้าใจศาสตร์ที่แท้จริง อาจเผชิญความวุ่นวายและปัญหาที่ตนเองสร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว กรรมนั้นไม่เคยลืมใคร และจะทวงคืนไม่ช้าก็เร็ว

วิชานามศาสตร์ ศาสตร์ที่ต้องศึกษาอย่างลึกซึ้ง

ผู้ที่สนใจในศาสตร์แห่งการตั้งชื่อ จำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงแค่ดูวันเกิดแล้วใส่อักษรวรรคเดชหรือวรรคศรีเข้าไป หากแต่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งความหมายของชื่อที่ต้อง เป็นมงคล ไม่ขัดแย้งกับดวงชะตา และยังต้องคำนึงถึง ฤกษ์มงคล ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนชื่อ วันและเวลาที่เหมาะสมเปรียบเสมือนประตูที่เปิดรับพลังบวกเข้าสู่ชีวิต หากพลาดเพียงเล็กน้อย ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นไปดังที่คาดหวัง

 

    


หลักการตั้งชื่อเบื้องต้น  การตั้งชื่อที่ดีต้องยึดถือ หลักการที่มั่นคงและถูกต้อง ดังนี้:

  1. ความถูกต้องของภาษา
    ชื่อต้องเขียนและสะกดให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ไม่บิดเบือนหรือผิดเพี้ยนจนเสียความหมาย

     
  2. ความไพเราะสละสลวย
    ชื่อควรฟังรื่นหู ไม่ตะกุกตะกัก ไม่ยาวหรือแปลกประหลาดจนเกินงาม

     
  3. ความเหมาะสมกับเพศ วัย และยุคสมัย
    ชื่อที่ดีต้องสอดคล้องกับบุคลิกและเพศ รวมถึงสะท้อนภาพลักษณ์ของเจ้าของชื่อได้อย่างชัดเจน

     
  4. ความหมายที่เป็นมงคล
    ชื่อควรมีความหมายดีงาม ไม่หยาบคายหรือผิดหลักศีลธรรม เช่น คำที่แปลว่า "ปลิง" หรือสื่อถึงสิ่งไม่เป็นมงคล

     
  5. ไม่สูงเกินวาสนา
    ชื่อที่ยิ่งใหญ่เกินฐานะหรือเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า อาจเป็นภาระที่เจ้าของชื่อแบกรับไม่ไหว

     
  6. ยึดหลักโหราศาสตร์การตั้งชื่อที่ดีต้องคำนึงถึงศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ทักษาปกรณ์ เลขศาสตร์ หรืออายตนะ
     
ศาสตร์การตั้งชื่อที่นิยมในปัจจุบัน มีศาสตร์หลากหลายแขนงที่ใช้ในการตั้งชื่อ โดยหลักๆ มีดังนี้:
 
6.1 ทักษาปกรณ์ : ตำราแม่บทแห่งการตั้งชื่อ

ศาสตร์นี้ใช้มาอย่างยาวนาน เน้นการเลือกอักษรในวรรคเดช วรรคศรี หรือวรรคมนตรี หลีกเลี่ยงตัวอักษรในวรรจกาลกิณี แม้จะได้รับความนิยมสูง แต่กลับไม่ได้กล่าวถึง ความสำคัญของนามสกุล หรือคำพยากรณ์ที่ชัดเจน การนำทักษามาตั้งนามสกุลในครอบครัวที่มีวันเกิดต่างกัน ยิ่งสร้างความสับสนและไม่สมเหตุสมผล


6.2 วิชาโหราเลขศาสตร์ : ศาสตร์สากลแห่งตัวเลขและดวงดาว 

วิชาโหราเลขศาสตร์(Numerology) เป็นศาสตร์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เพราะสามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลข อักษร และดวงดาวในระบบสุริยะ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนพลังและชะตาชีวิตของเจ้าของชื่อ โดยจะตรวจอักษรทุกตัวให้ความสำคัญทั้งชื่อตัว,ชื่อกลาง,ชื่อนามสกุล นักโหราเลขศาสตร์ในไทยส่วนใหญ่ต่างก็ได้รับการสืบทอดความรู้จากบรมครู อาจารย์พลูหลวง ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกศาสตร์นี้ในประเทศไทยทั้งสิ้น
 

6.3 วิชานามศาสตร์อื่นๆ

ยังมีนามศาสตร์ใหม่ๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการตั้งชื่อ เช่น:

  • ศาสตร์แห่งค่าอายตนะ 6 : วิเคราะห์พฤติกรรมและเส้นทางชีวิตผ่านตัวอักษรในชื่อ
  • ศาสตร์แห่งทิศหลาวเหล็ก : วิเคราะห์ตัวอักษรที่สัมพันธ์กับทิศและยามเกิด


การตั้งชื่อจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หากแต่เป็น ศิลปะที่ต้องการความรู้ ความเข้าใจ และความรับผิดชอบ ชื่อนั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ หรือกลายเป็นบ่วงที่ฉุดรั้งชะตากรรม การตั้งชื่ออย่างมักง่ายจึงไม่ใช่เพียงแค่ความผิดพลาด แต่คือการสร้างกรรมใหม่ที่อาจติดตามเจ้าของชื่อและผู้ตั้งไปตลอดกาล
 

คุณพร้อมหรือยังที่จะมองชื่อของคุณใหม่?
เพราะชื่อที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อ แต่คือพลังที่ผลักดัน
ชีวิตสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง!

 

   
 
เขียนบทความโดย  อ.อรุณวิชญ์ วงศ์จตุพัฒน์
๕ พฤษภาคม ๒๕๔๘