ประวัติกำเนิดของโลก

 
 
ประวัติกำเนิดของโลก
 
        ตามตำนานสร้างโลก กล่าวไว้ว่า เมื่อโลกถึงคราววินาศ เหลือเพียงอากาศว่างเปล่า พระเวทและพระธรรมศาสตร์ได้หลอมรวมกันจนก่อกำเนิดเป็นพระอิศวร ผู้ทรงพิจารณาเหตุแห่งการทำลายของโลกด้วยพระเมตตาต่อสรรพชีวิต พระองค์ดำริที่จะสร้างโลกและทุกสรรพสิ่งขึ้นใหม่ให้สมบูรณ์พร้อม

พระอิศวรทรงลูบพระอุระด้วยพระหัตถ์ขวา แล้วสลัดออก บังเกิดเป็นพระอุมาภัควดี ผู้ซึ่งกลายเป็นพระมเหสีของพระองค์ พระอุมาภัควดีกราบทูลว่า การสร้างโลกอันกว้างใหญ่นั้น เป็นภาระที่ยิ่งใหญ่เกินกำลังของทั้งสองพระองค์ จำเป็นต้องมีผู้ช่วย พระอิศวรทรงเห็นด้วย จึงลูบพระหัตถ์ซ้ายไปยังพระหัตถ์ขวา บังเกิดเป็นพระนารายณ์ และเมื่อพระหัตถ์ขวาลูบพระหัตถ์ซ้ายอีกครั้ง บังเกิดเป็นพระพรหมธาดา

จากนั้น พระอิศวรทรงสำรอกพระมังสาออกจากพระอุทร กลายเป็นพื้นดิน และถอดจุฑามณีออกจากพระเกศา บันดาลให้กลายเป็นเขาพระสุเมรุราช พร้อมกับสร้างธาตุทั้งปวงขึ้นในโลกอย่างสมบูรณ์ โลกจึงเริ่มประกอบด้วยพืชพรรณและสรรพสัตว์จำนวนมาก ต่อมาได้เกิดฝนตกใหญ่ในโลก และเมื่อฝนหยุด ไอหอมจากพื้นดินถูกลมพัดขึ้นไปยังพรหมโลก พรหมทั้งเจ็ดได้รับกลิ่นและเกิดความอยากลิ้มลองง้วนดิน จึงแปลงเพศลงมาเป็นนางเพื่อกินง้วนดิน

นางพรหมทั้งเจ็ดกินง้วนดินจนพอใจ จากนั้นเทพบุตรและเทพธิดาก็จุติลงมาเกิดในครรภ์ของพวกนาง ต่อมาพวกนางคลอดบุตรชายหนึ่งคนและบุตรหญิงหกคน ซึ่งกลายเป็นบรรพชนของมนุษย์ ยุคแรก มนุษย์มีแสงสว่างจากร่างกายของตนเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งแสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ แต่เมื่อกินอาหารที่หยาบช้า รัศมีของกายก็จางหาย มนุษย์เริ่มหวาดกลัวความมืด

พระอิศวรจึงปรึกษากับพระอุมาภัควดี พระนารายณ์ และพระพรหมว่า โลกควรมีแสงสว่างเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก พระองค์จึงทรงสร้างจักรราศี 12 ราศี พร้อมกับดาวฤกษ์ 27 ฤกษ์ และเทวดานพเคราะห์ 9 องค์ให้เวียนรอบจักรราศี อีกทั้งยังสร้างสัตว์ 12 นักษัตรเพื่อเป็นตัวแทนปี ได้แก่

  1. ปีชวด (หนู)
  2. ปีฉลู (วัว)
  3. ปีขาล (เสือ)
  4. ปีเถาะ (กระต่าย)
  5. ปีมะโรง (งูใหญ่)
  6. ปีมะเส็ง (งูเล็ก)
  7. ปีมะเมีย (ม้า)
  8. ปีมะแม (แพะ)
  9. ปีวอก (ลิง)
  10. ปีระกา (ไก่)
  11. ปีจอ (สุนัข)
  12. ปีกุน (หมู)

หลังจากสร้างสัตว์ทั้ง 12 นักษัตรเสร็จแล้ว พระอิศวรทรงสร้างเทวดานพเคราะห์ 9 องค์เพื่อคุ้มครองวิมานที่จะเวียนรอบจักรราศี พระองค์ได้ตั้งพิธีทำน้ำอมฤตขึ้น โดยทรงใช้ผ้าห่อผงละเอียดที่มีสีต่าง ๆ อันเป็นตัวแทนของเทวดานพเคราะห์ แล้วจึงพรมน้ำอมฤต บังเกิดเป็นเทวดานพเคราะห์ทั้ง 9 องค์ ดังนี้:

  1. พระอาทิตย์ – สร้างจากราชสีห์ 6 ตัว สีกายแดง วิมานสีแดง ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ

  2. พระจันทร์ – สร้างจากนางฟ้า 15 นาง สีกายนวล วิมานแก้วมุกดา ทรงม้าเป็นพาหนะ

  3. พระอังคาร – สร้างจากกระบือ 8 ตัว สีกายเพทาย วิมานสีทับทิม ทรงกระบือเป็นพาหนะ

  4. พระพุธ – สร้างจากช้าง 17 ตัว สีกายมรกต วิมานสีเหลืองหลัว ทรงช้างเป็นพาหนะ

  5. พระพฤหัสบดี – สร้างจากฤๅษี 19 ตน สีกายไพฑูรย์ วิมานสีบุษราคัม ทรงกวางทองเป็นพาหนะ

  6. พระศุกร์ – สร้างจากคาวี 21 ตัว สีกายประภัสสร วิมานสีทอง ทรงโคอุศุภราชเป็นพาหนะ

  7. พระเสาร์ – สร้างจากพยัคฆ์ 10 ตัว สีกายดำ วิมานสีมรกต ทรงเสือเป็นพาหนะ

  8. พระราหู – สร้างจากหัวผีโขมด 12 หัว สีกายทองสัมฤทธิ์ วิมานสีนิล ทรงครุฑเป็นพาหนะ

  9. พระเกตุ – สร้างจากพนานาค สีกายทองคำ วิมานสีเปลวไฟ ทรงนาคเป็นพาหนะ

 

ด้วยพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ โลกจึงได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างสมบูรณ์ เทวดานพเคราะห์และสัตว์ทั้ง 12 นักษัตรกลายเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความสมดุลแห่งจักรวาล

เรื่องพาหนะนี้ มีตำราบางฉบับกล่าวว่า พระอิศวรเป็นเจ้าอนุญาตให้เทวดานพเคราะห์สร้างเอง และวิมานที่หมายเป็นดาวเคราะห์นั้น พระอิศวรได้ทรงสร้างไว้ก่อนแล้วแต่ยังไม่มีเทวดารักษา จึงได้สร้างดาวนพเคราะห์ขึ้นรักษา เมื่อสร้างเทวดาประจำดาวนพเคราะห์แล้ว เทวดาทั้ง 7 องค์ได้รับการกำหนดให้แทนวันในสัปดาห์ ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ และพระเสาร์ ซึ่งทรงพยากรณ์ไว้ว่า ชายหญิงที่เกิดในแต่ละวันจะมีลักษณะนิสัยและชะตาชีวิตแตกต่างกันไปดังนี้:
 
ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ มีจิตใจศรัทธาและมักได้รับความเมตตาจากเจ้านาย เป็นคนซื่อสัตย์ แต่มีอารมณ์โกรธง่าย มักมีความกลัวหรือยำเกรงคู่ครองของตน การค้าขายไม่รุ่งเรือง และทำบุญคุณให้ใครก็มักไม่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
 
ผู้ที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนรูปร่างหน้าตาดี มีเสน่ห์ และได้รับความเมตตาจากผู้อื่น แม้จะโกรธง่าย แต่ก็หายเร็ว มีลักษณะนิสัยที่เปลี่ยนแปลงง่าย มักย้ายถิ่นฐานหรือเปลี่ยนแปลงที่อยู่บ่อยครั้ง
 
ผู้ที่เกิดวันอังคาร มีความกล้าหาญ ปัญญาไว และมักได้รับความเมตตาจากเจ้านาย เป็นคนขยันขันแข็ง โดยเฉพาะในเรื่องที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่หนักๆ หรือการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ แม้ช่วงแรกของชีวิตอาจประสบความลำบาก แต่ภายหลังก็จะพบความสำเร็จ
 
ผู้ที่เกิดวันพุธ มีปัญญาเฉลียวฉลาดและได้รับความเมตตาจากคนรอบข้าง แต่มีปัญหาในการเก็บออมทรัพย์สิน อีกทั้งมักประสบกับการถูกเบียดเบียนจากบริวารหรือลูกน้อง
 
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี เป็นคนรูปร่างงดงาม มีจิตใจศรัทธา และปัญญาดี เด่นในเรื่องการค้าขายและการเจรจา แต่มีลักษณะนิสัยที่ชอบบ่นหรือจู้จี้อยู่บ้าง อีกทั้งไม่สามารถพึ่งพาญาติพี่น้องได้มากนัก
 
ผู้ที่เกิดวันศุกร์ เป็นคนชื่นชอบความสนุกสนาน มีนิสัยพูดเก่ง แต่บางครั้งอาจพูดมากจนเกินไป มีญาติและมิตรที่ช่วยเหลือสนับสนุน แต่กลับมักถูกเบียดเบียนจากบริวารหรือคนใกล้ตัว
 
ผู้ที่เกิดวันเสาร์ เป็นคนขยันขันแข็ง มีความเพียรพยายามสูง แม้จะมีอารมณ์โกรธรุนแรง แต่ก็มีจิตใจเมตตา อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์กับคู่ครองมักไม่ราบรื่นหรือไม่ค่อยเห็นพ้องต้องใจกัน
 

เมื่อทรงพยากรณ์จักรวาลเสร็จสิ้น พระพรหมธาดาได้บัญญัติระบบเวลาโดยกำหนดให้ 4 บาทเป็น 1 มหานาที และ 60 มหานาทีเป็น 1 วัน นอกจากนี้ เทวดานพเคราะห์ทั้ง 9 ยังได้รับหน้าที่เวียนรอบจักรราศี ด้วยกำลังพิมานที่ทรงสร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งอดีต ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบอกดีร้ายสำหรับมนุษย์และสรรพสิ่งในโลก

การจัดแบ่งหน้าที่และตำแหน่งแห่งทิศ

พระพรหมธาดาได้มอบหมายให้เทวดานพเคราะห์ทั้ง 9 เวียนรอบ เขาพระสุเมรุราช ตามจักรราศี โดยกำหนดระยะทางตามกำลังของพิมานที่เหมาะสม หลังจากนั้น พระอิศวร ผู้เป็นเจ้า ทรงพิจารณาเห็นว่าบริเวณเขาพระสุเมรุราชมีเหลี่ยมใหญ่ประจำทิศทั้ง 8 ทิศ แต่ยังไม่มีเทวดาอำนาจประจำทิศ จึงทรงแต่งตั้งดังนี้:

  • ทิศอีสาน: พระอาทิตย์
  • ทิศบูรพา: พระจันทร์
  • ทิศอาคเณย์: พระอังคาร
  • ทิศทักษิณ: พระพุธ
  • ทิศหรดี: พระเสาร์
  • ทิศประจิม: พระพฤหัสบดี
  • ทิศพายัพ: พระราหู
  • ทิศอุดร: พระศุกร์


วิธีการกำหนดตำแหน่งทิศตามกำลังของเทวดา

บางตำรากล่าวว่า ตำแหน่งทิศนั้นขึ้นอยู่กับสถานที่กำเนิดของเทวดานพเคราะห์ แต่ในบางตำราอธิบายว่า พระอิศวรทรงแบ่งทิศให้เทวดานพเคราะห์ตามกำลังของแต่ละองค์ โดยเริ่มต้นจาก ทิศทักษิณ และเวียนขวาตามลำดับ (ทักษิณาวัตร) เช่น

  • พระอาทิตย์: มีกำลังเป็น 6 จึงนับจากทิศทักษิณไปจบที่ทิศอีสาน
  • พระจันทร์: มีกำลังเป็น 15 จึงนับจากทิศทักษิณไปจบที่ทิศบูรพา
  • พระอังคาร: มีกำลังเป็น 8 เมื่อนับจากทิศทักษิณเวียนขวา จะตกที่ ทิศอาคเณย์
  • พระพุธ: มีกำลังเป็น 17 เมื่อนับจากทิศทักษิณเวียนขวา จะตกที่ ทิศทักษิณ (กลับมาครบรอบ)
  • พระพฤหัสบดี: มีกำลังเป็น 19 เมื่อนับจากทิศทักษิณเวียนขวา จะตกที่ ทิศประจิม
  • พระศุกร์: มีกำลังเป็น 21 เมื่อนับจากทิศทักษิณเวียนขวา จะตกที่ ทิศอุดร
  • พระเสาร์: มีกำลังเป็น 10 เมื่อนับจากทิศทักษิณเวียนขวา จะตกที่ ทิศหรดี
  • พระราหู: มีกำลังเป็น 12 เมื่อนับจากทิศทักษิณเวียนขวา จะตกที่ ทิศพายัพ
  • พระเกตุ: มีกำลังเป็น 9 เมื่อนับจากทิศทักษิณเวียนขวา จะตกที่ ทิศอุดร (ซ้ำจุดพระศุกร์)
     

การจัดทิศของเทวดาจึงเป็นไปตามลำดับกำลังที่กำหนดไว้ และตำแหน่งทิศที่เทวดาประจำอยู่ ได้แก่:

  • ทิศอีสาน: 1
  • ทิศบูรพา: 2
  • ทิศอาคเณย์: 3
  • ทิศทักษิณ: 4
  • ทิศประจิม: 5
  • ทิศอุดร: 6
  • ทิศหรดี: 7
  • ทิศพายัพ: 8
 
ภาพสังข์มงคล สังขอสูร หรือมหาสังข์
 

เหตุการณ์ชิงคัมภีร์และกำเนิดสังข์มงคล

หลังจากพระพรหมธาดาบัญญัติตำราโหราศาสตร์ที่เรียกว่า พระเวทย์พระธรรมศาสตร์ สำเร็จแล้ว ทรงนำตำราไปถวายพระอิศวร ระหว่างทางกลับจากพรหมโลก ทรงร้อนพระวรกายจึงลงสรงน้ำในมหาสมุทร และวางตำราไว้ริมฝั่ง ขณะนั้น สังขอสูร ซึ่งเป็นยักษ์ที่จุติลงมาจากพรหมโลกในร่างหอยสังข์ ได้ส่งผีเสื้อน้ำไปลักตำราเพื่อกลั่นแกล้งพระพรหมธาดา

เมื่อพระพรหมธาดาขึ้นจากน้ำและไม่พบตำรา ทรงพิโรธและเสด็จไปเฝ้าพระอิศวร พระอิศวรจึงมอบหมายให้ พระนารายณ์ อวตารเป็น มัจฉาอวตาร (ร่างปลา) ไปปราบสังขอสูร พระนารายณ์แหกอกสังข์เพื่อชิงตำราคืน และทรงสาปให้ สังข์ กลายเป็นสัญลักษณ์มงคล โดยมีคุณสมบัติสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  1. กำเนิดจากพรหมโลก
  2. เคยทรงคัมภีร์พระเวทย์พระธรรมศาสตร์
  3. ได้สัมผัสพระหัตถ์ของพระนารายณ์
การใช้สังข์ในพิธีมงคล พระนารายณ์ทรงประกาศว่าภายภาคหน้า "สังข์" จะกลายเป็นวัตถุมงคลสำคัญ หากนำมาใช้ในพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ จะก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลทั้งเสียงและคุณค่า สุดท้าย พระพรหมธาดาได้นำตำรากลับไปถวายพระอิศวร และตำรานี้ได้กลายเป็นศาสตร์แห่งโหราศาสตร์สำหรับมนุษย์ตราบจนถึงปัจจุบัน
 

 

 
อ.วรุณวิชญ์ วงศ์จตุพัฒน์
๕ พฤษภาคม ๒๕๔๘