ความรู้เรื่องฤกษ์มงคล

 
ความรู้เรื่องฤกษ์มงคล

การเลือกฤกษ์มงคลเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญในโหราศาสตร์ไทย เพื่อช่วยกำหนดเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มต้นกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการงาน การแต่งงาน การเดินทาง หรือพิธีกรรมสำคัญ ฤกษ์ที่ดีไม่เพียงช่วยเสริมความมั่นใจ แต่ยังเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต

 
เริ่มเรียนรู้เรื่องฤกษ์ใหญ่ๆ ทั้ง 9 ฤกษ์
  1. ทลิทโท แห่งฤกษ์ มักจะครองชีวิตอยู่ด้วยความลำบากยากจน ต้องอาศัยความรู้และความสามารถของตนเป็นที่พึ่ง ไม่ค่อยมีใครอุปถัมภ์ มักทำงานหนักหรืองานที่ลำบาก
  2. มหัทธโน แห่งฤกษ์ แม้จะลำบากในตอนต้น แต่ภายหลังจะเจริญรุ่งเรือง มักมีทรัพย์สินมาก ร่ำรวยมั่งคั่ง โดยเฉพาะการทำการค้าขายจะดีมาก
  3. โจโร แห่งฤกษ์ มักจะหากินด้วยวิธีที่เสี่ยงอันตราย หรือฝ่าฟันความลำบาก การต่อสู้ ต้องทำงานที่ได้ผลรวดเร็วเพื่อความสำเร็จ
  4. ภูมิปาโล แห่งฤกษ์ เหมาะกับการหากินในสายราชการดี มักไม่ขาดผู้อุปถัมภ์ ผู้ใหญ่และเจ้านายมักเป็นที่พึ่งพาได้
  5. เทศาตรี แห่งฤกษ์ มักหาเลี้ยงชีพแบบจับฉ่าย ไม่แน่นอน หากินโดยการเดินทางไกลจะประสบความสำเร็จ
  6. เทวี แห่งฤกษ์ มักได้คู่ครองดีที่เป็นที่พึ่งแก่เจ้าชาตา เสริมสร้างความมั่นคงในชีวิต
  7. เพชฌฆาต แห่งฤกษ์ มักมีใจอำมหิต ดุร้าย หากินทางปราบปราม เช่น ทหาร ตำรวจ หรืออาชีพที่เกี่ยวกับการจัดการ มักจะได้ผลดี
  8. ราชา แห่งฤกษ์ มักมีบุญญาธิการ เจ้านายรักใคร่ ให้การสนับสนุน ชุบเลี้ยง และอาสาเจ้านายได้ดี มีผลสำเร็จในชีวิต
  9. สมโณ แห่งฤกษ์ ถ้าเป็นคฤหัสถ์มักขัดสน หาทรัพย์ยาก แต่ถ้าเป็นนักบวช หรือหากินเกี่ยวกับศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภและความสุขสบาย
 
วิธีใช้ฤกษ์
  1. ฤกษ์ ทลิทโท   สำหรับใช้การ - สู่ขอ ทวงหนี้
  2. ฤกษ์ มหัทธโน  สำหรับใช้การ - มงคลทุกอย่าง
  3. ฤกษ์ โจโร       สำหรับใช้การ - ปล้นค่าย ตีทัพ
  4. ฤกษ์ ภูมิปาโล  สำหรับใช้การ - ปลูกบ้าน สร้างเมือง
  5. ฤกษ์ เทศาตรี   สำหรับใช้การ - เปิดร้านค้า โรงมหรสพ ซ่องโสเภณี
  6. ฤกษ์ เทวี         สำหรับใช้การ - มงคลทุกอย่าง
  7. ฤกษ์ เพชฌฆาต  สำหรับใช้การ - ปล้นค่าย ยกทัพ ปราบโจร
  8. ฤกษ์ ราชา        สำหรับใช้การ - มงคลทุกอย่าง
  9. ฤกษ์ สมโณ     สำหรับใช้การ - ดีเลิศ
 
อธิบายเรื่องฤกษ์
 
๑. ทลิทโทฤกษ์ กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๑, ๑๐, ๑๙ ได้แก่ อศวีนี (Asvini), มฆา (Magha), มูลา (Mula)
บาทฤกษ์ทั้ง ๔ ของฤกษ์อยู่ในราศีเดียวกัน เรียกว่า “ปุณณฤกษ์ขัง” เป็นมงคลฤกษ์ ให้คุณแก่เจ้าชะตา ทำให้บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ โดยมี พระอาทิตย์ เป็นเจ้าแห่งฤกษ์
ข้อห้าม: นวางค์แรกแห่งราศีที่เป็นเกษตรต้น เรียกว่า “จัตตุรฤกษ์ และขันธฤกษ์ (พยะกะริขัง)” เป็นจุดอันตราย บริวารและยศถาอาจถูกช่วงชิง
 
๒. มหัทธโนฤกษ์ กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๒, ๑๑, ๒๐ ได้แก่ ภรณี (Bharani), บุรพผลคุนี (Purva Phalguni), บุรพษาฒ (Purva Ashadha)
บาทฤกษ์ทั้ง ๔ อยู่ในราศีเดียวกัน เป็น ปุณณฤกษ์ขัง ให้ผลมงคลตลอดกาล โดยมี พระจันทร์ เป็นเจ้าแห่งฤกษ์
 
๓. โจโรฤกษ์ กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๓, ๑๒, ๒๑ ได้แก่ กฤติกา (Krittika), อุตรผลคุนี (Uttara Phalguni), อุตราษาฒ (Uttara Ashadha)
บาทฤกษ์แรกอยู่ในราศีอดีต อีก ๓ บาทอยู่ในราศีอนาคต เรียกว่า “เอกตรีน” ซึ่งเป็น ฉินทฤกษ์ (ฤกษ์แตก) มีผลอันตราย ไม่เป็นมงคล โดยมี พระอังคาร เป็นเจ้าแห่งฤกษ์
 
๔. ภูมิปาโลฤกษ์ กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๔, ๑๓, ๒๒ ได้แก่ โรหิณี (Rohini), หัสต (Hasta), ศรวณะ (Shravana)
บาทฤกษ์ทั้ง ๔ อยู่ในราศีเดียวกัน เป็น ปุณณฤกษ์ขัง ให้คุณมั่นคง เหมาะแก่การสร้างถาวรวัตถุ โดยมี พระพุธ เป็นเจ้าแห่งฤกษ์ 
 
๕. เทศาตรีฤกษ์ กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๕, ๑๔, ๒๓ ได้แก่ มฤคศิร (Mrigasira), จิตรา (Chitra), ธนิษฐา (Dhanistha)
บาทฤกษ์ที่ ๑–๒ อยู่ในราศีอดีต และบาทที่ ๓–๔ อยู่ในราศีอนาคต เรียกว่า “ดินฤกษ์” หรือ “พินทุบาทว์” เป็นฤกษ์แตก อัปมงคล ให้ผลไม่แน่นอน โดยมี พระเสาร์ เป็นเจ้าแห่งฤกษ์ 
 
๖. เทวีฤกษ์ กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๖, ๑๕, ๒๔ ได้แก่ อารทรา (Ardra), สวาติ (Swati), ศตภิษัช (Shatabhisha)
บาทฤกษ์ทั้ง ๔ อยู่ในราศีเดียวกัน เป็น ปุณณฤกษ์ขัง ให้เกิดสวัสดิมงคล โดยมี พระพฤหัสบดี เป็นเจ้าแห่งฤกษ์
ข้อห้าม: ในฤกษ์ที่ ๑๕ และ ๒๔ ห้ามใช้บาทฤกษ์ที่ ๒–๔ (นวางค์ ๔–๖) เพราะถูกลูกพิษ แต่ฤกษ์ที่ ๒๔ บาทที่ ๖ เป็น นวางค์ปุ ชั้นเอก คุ้มได้หมด
 
๗. เพชฌฆาตฤกษ์  กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๗, ๑๖, ๒๕ ได้แก่ ปุนัพสุ (Punarvasu), วิศาขา (Vishakha), บุรพภัทรบท (Purva Bhadrapada)
บาทฤกษ์ ๓ บาทแรกอยู่ในราศีอดีต บาทสุดท้ายอยู่ในราศีอนาคต เรียกว่า “ตริดนอก” ไม่เป็นมงคลฤกษ์ ให้ผลแห่งทุกข์และความสูญเสีย โดยมี พระราหู เป็นเจ้าแห่งฤกษ์ 
 
๘. ราชาฤกษ์  กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๘, ๑๗, ๒๖ ได้แก่ บุษยะ (Pushya), อนุราธา (Anuradha), อุตรภัทรบท (Uttara Bhadrapada)
บาทฤกษ์ทั้ง ๔ อยู่ในราศีเดียวกัน เป็น ปุณณฤกษ์ขัง ให้ศิริมงคลสูงสุด โดยมี พระศุกร์ เป็นเจ้าแห่งฤกษ์ 
 
๙. สมโณฤกษ์  กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๙, ๑๘, ๒๗ ได้แก่  อาศเลษา (Ashlesha), เชษฐา (Jyeshtha), เรวดี (Revati)
บาทฤกษ์ทั้ง ๔ อยู่ในราศีเดียวกัน เป็น ปุณณฤกษ์ขัง ให้คุณแก่ผู้บวชหรือผู้แสวงธรรม โดยมี พระเกตุ เป็นเจ้าแห่งฤกษ์
ข้อห้าม: ห้ามใช้นวางค์สุดท้ายของแต่ละบาทฤกษ์ เพราะเป็น “จัตตุรฤกษ์” และ “ขันธฤกษ์” ซึ่งเป็นนวางค์ขาดในราศี อาจเกิดอันตรายหรือสูญเสียบริวาร
 

วิธีทำฤกษ์

วิธีใช้ฤกษ์ เมื่อเปิดดูใน ปฏิทินโหร เรามักเห็นข้อความที่บอกว่า “ดาวจันทร์โคจรอยู่ในฤกษ์นั้นฤกษ์นี้” พร้อมตัวเลขระบุจำนวนฤกษ์และนาทีฤกษ์ประจำวันไว้ เช่น “14/30” ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นเวลาฤกษ์ที่แน่นอนแล้ว แท้จริงแล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ตัวเลข “จำนวนฤกษ์” และ “นาทีฤกษ์” ที่ระบุไว้ในปฏิทิน หมายถึง ตำแหน่งของดวงจันทร์เมื่อถึงเวลา 2 ยามตรง หรือเวลา 24.00 น. ของวันนั้น เช่น เขียนว่า “14/30” หมายความว่า ณ เวลา 24.00 น. ฤกษ์ที่ 14 ได้สิ้นสุดลงแล้ว และดวงจันทร์ได้เข้าสู่ฤกษ์ที่ 15 แล้วจำนวน 30 นาทีฤกษ์
 
โดยหลักคำนวณ 1 นาทีฤกษ์ = 24 นาทีเวลานาฬิกา
ดังนั้น ฤกษ์ที่ 15 จะเริ่มย่างเข้ามาก่อนเวลา 24.00 น. หรือ 2 ยาม ประมาณ 12 ชั่วโมงเศษ (30 นาทีฤกษ์ × 24 นาที = 720 นาที = 12 ชั่วโมงพอดี) เมื่อจะวาง ลัคนาฤกษ์ จึงต้องสังเกตให้ดีว่า เวลาที่เราต้องการใช้ตกอยู่ในฤกษ์ใด เพราะฤกษ์ในแต่ละวันมัก คาบเกี่ยวกันได้ หากไม่ตรวจสอบอย่างรอบคอบอาจวางฤกษ์ผิดได้ง่าย จำเป็นต้องอาศัย “วิธีตัดฤกษ์” เพื่อสอบให้แน่ชัดว่า ฤกษ์ใดเข้า–ออกเวลาใด เพื่อจะได้วางลัคนาได้ตรงตามจังหวะเวลาที่แท้จริง
 
ว่าด้วยเรื่อง “ดิถีเพียน” และ “ดิถีตลาด”
ในปฏิทินโหรจะมีการนับดิถีที่เรียกว่า ดิถีเพียน ซึ่งเป็นการคำนวณทางโหราศาสตร์ แต่เมื่อนำไปใช้ในพิธีกรรมหรือตั้งฤกษ์ทั่วไป ให้ใช้ ดิถีตลาด คือวันขึ้น–แรมตามที่ชาวบ้านใช้กันทั่วไป มิใช่ดิถีเพียน เว้นแต่การคำนวณทางเทคนิคเชิงลึกซึ่งจำเป็นต้องอาศัยดิถีเพียนเท่านั้น

วิธีทำหา “เวลาอนาคต” เพื่อวางลัคนาฤกษ์

หากต้องการหาฤกษ์ใดฤกษ์หนึ่งในอนาคต ให้ดำเนินการดังนี้

  1. นับถอยหลัง 1 วัน เพื่อดู ราศี องศา และลิปดาของดวงอาทิตย์ตาหลัง ในปฏิทินโหร (สมผุสไว้ที่เวลา 24.00 น.)

  2. นำค่าที่ได้มาคำนวณดังนี้

    • เอา 15 บวกกับลิปดา

    • เอา 60 คูณองศา

    • แล้วนำผลทั้งสองมาบวกกัน เรียกว่า ธนะลิปดา

  3. จากนั้น ตั้งค่าอันโตนาทีในราศีที่อาทิตย์สถิตอยู่ แล้วคูณด้วยธนะลิปดา

  4. นำผลที่ได้ หารด้วย 1,800 ค่าที่ได้คือ “เวลาวินาทีในอดีตของอาทิตย์อุทัยในราศีนั้น”

  5. นำค่า “อันโตนาทีของราศีนั้น” มาลบกับ “เวลาอดีตของอาทิตย์” จะได้ “เวลาอนาคตของอาทิตย์” ที่เหลืออยู่ในราศีนั้น

  6. จากนั้นนำเวลาอันโตนาทีของราศีถัดไปมาบวกต่อเนื่องจนถึงเวลาที่ต้องการ แล้วจึงพิจารณา นวางค์ และ ตรียางค์ ให้ดี

  7. ต้องหลีกเลี่ยงนวางค์ที่เป็น ลูกพิษ หรือตรียางค์ที่เป็น ฤกษ์แตก เพื่อให้การวางลัคนาฤกษ์ได้ผลบริสุทธิ์

การปรับเวลาให้ตรงตามสากล

เมื่อได้เวลาแน่นอนของฤกษ์แล้ว ให้ เพิ่มเวลาอีก 18 นาที เพื่อชดเชยความคลาดเคลื่อนระหว่างเวลาทางโหราศาสตร์กับเวลามาตรฐานสากล (เฉพาะกรุงเทพฯ เพิ่ม 18 นาที ส่วนจังหวัดอื่นให้เพิ่มตามอัตราท้องถิ่น)

การหานวางค์และตรียางค์

  1. เมื่อรู้ว่าเวลาที่ต้องการจะวางฤกษ์อยู่ในราศีใด

    • ให้นำ อันโตนาทีของราศีนั้น ÷ 9
      ผลลัพธ์คือ เวลาของลูกนวางค์ 1 ลูก

  2. เพื่อหาตรียางค์

    • นำเวลาของลูกนวางค์ × 3
      ผลที่ได้คือ เวลาของตรียางค์ 1 ลูกในราศีนั้น

การวางลัคนาฤกษ์

การวางลัคนาฤก์นี้มีหลักการเช่นเดียวกับการ ผูกดวงชาตา เพื่อพยากรณ์

  1. ตรวจดู ดวงดาวปัจจุบัน โดยเฉพาะ ดาวจันทร์ ว่าเสวยบูรณฤกษ์หรือไม่

  2. ตรวจสอบ ดิถีเดือนและวัน ให้ผ่านพ้นข้อห้าม

  3. เลือก ราศีที่จะวางลัคนาฤกษ์ เพื่อให้ดวงดาวเด่น ได้โยคเกณฑ์ที่ดี และไม่เบียนเจ้าชาตาเดิม

  4. เมื่อพิจารณาแล้วว่าทุกปัจจัยเหมาะสม ให้เริ่มดำเนิน “วิธีทำฤกษ์” ตามขั้นตอนที่กล่าวมา

การกำหนด “ปฐมฤกษ์”

เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านข้อห้ามและยามร้ายทั้งหมดแล้ว ให้พิจารณา

  • นวางค์

  • ตรียางค์

  • และ บูรณฤกษ์ ที่จะใช้

หากฤกษ์นั้นสมควรแก่การประกอบกิจการ ให้ วางลัคนาฤกษ์ลงในราศีที่ตั้งใจ โดยกำหนด ปฐมฤกษ์ ไว้ใน “นวางค์ที่ปลอดโปร่ง” ไม่เกี่ยวกับ ตรียางค์ลูกพิษ

วิธีคำนวณ:
นำเวลา “ลูกนวางค์แรก” + “เวลาเริ่มต้นของราศี” แล้วบวกเพิ่มทีละลูกนวางค์จนครบถึงนวางค์ที่ประสงค์ ผลที่ได้คือตำแหน่ง “ปฐมฤกษ์” และหมดเขตตรงใด นั่นคือ “สุดฤกษ์”

หากวางฤกษ์ได้ในนวางค์ที่ปลอดโปร่ง 2–3 ลูก ฤกษ์จะยาวและให้ผลดีมาก แต่ถ้าได้เพียงลูกเดียว เวลาฤกษ์จะสั้นลง

ดังนั้นควร ตรวจเลี่ยงตรียางค์ลูกพิษและฤกษ์ที่แตก อย่างรอบคอบ เพราะหากพลาดไปอยู่ในตำแหน่งนั้น อาจเกิดอันตรายหรือเคราะห์กรรมได้

และเมื่อกำหนด “ปฐมฤกษ์” ได้แน่นอนแล้ว ให้ รอเวลาเล็กน้อยจนเข้านวางค์นั้นเต็มที่ แล้วจึงประกอบการได้ ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่สมบูรณ์ตามหลักโหราศาสตร์ไทยโบราณ

 
หมายเหตุ: ข้อความทั้งหมดนี้เป็นการเรียบเรียงเชิงตำรา โดยรักษารูปแบบและเนื้อหาสำคัญไว้อย่างครบถ้วน ขัดเกลาให้อ่านเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ www.mahamongkol.com