พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่

ตลอดระยะเวลากว่าเจ็ดทศวรรษแห่งรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน
จนกลายเป็น “แบบอย่างของกษัตริย์นักพัฒนา” ที่ทั่วโลกยกย่อง

ด้านการเกษตรและพัฒนาชนบท

พระองค์ทรงริเริ่ม โครงการพระราชดำริ นับพันโครงการ
เช่น โครงการฝนหลวง, โครงการแกล้งดิน, การพัฒนาเกษตรทฤษฎีใหม่
และการส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในชุมชนชนบท
พระองค์ทรงเห็นว่า “น้ำคือชีวิต” จึงทรงเน้นการพัฒนาแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของประเทศ
ตั้งแต่เขื่อนใหญ่จนถึงฝายเล็กในหมู่บ้านห่างไกล

ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ

พระองค์ทรงตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่า
จึงทรงริเริ่มโครงการ ป่าชุมชน, ปลูกป่าทดแทน, และ โครงการแก้มลิง
เพื่อลดภัยน้ำท่วม–ภัยแล้ง และฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติ

ด้านการศึกษาและสาธารณสุข

พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า “การศึกษา คือรากฐานแห่งการพัฒนาคน”
จึงพระราชทานทุนการศึกษา และส่งเสริมโครงการพัฒนาครูในท้องถิ่น
ทรงจัดตั้งสถานีอนามัยและโรงพยาบาลในพื้นที่ทุรกันดาร
ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างเท่าเทียม

ด้านเศรษฐกิจและการดำรงชีวิต

พระองค์ทรงพระราชทาน “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
เป็นแนวทางให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างสมดุล
รู้จักพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันในตนเอง
หลักธรรมนี้ได้กลายเป็น “เข็มทิศทางเศรษฐกิจและจิตวิญญาณของชาติ”
ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งได้ยกย่องให้เป็นแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก

พระราชกรณียกิจทั้งมวล มิได้เกิดจากคำสั่งบนโต๊ะ หากเกิดจากการเสด็จพระราชดำเนินไปทุกภูมิภาค
ทรงลงพื้นที่จริง รับฟังความเดือดร้อนของราษฎรด้วยพระองค์เอง
และทรงค้นหาวิธีแก้ไขอย่างเหมาะสมกับภูมิสังคมไทย
พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์เพียงไม่กี่พระองค์ในโลก
ที่ทรงเข้าใจ “หัวใจของประชาชน” อย่างแท้จริง

ความหมายแห่งวันนวมินทรมหาราช

วันนวมินทรมหาราช จึงมิใช่เพียงวันแห่งการรำลึกถึงการเสด็จสวรรคต
แต่เป็นวันที่คนไทยทั้งชาติได้ “หวนมองพระราชจริยวัตรอันงดงาม”
เพื่อยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

เป็นวันแห่ง ความกตัญญูกตเวที ความรัก และความจงรักภักดี
ที่ประชาชนแสดงออกด้วยหัวใจบริสุทธิ์
ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อแผ่นดินและปวงชนชาวไทย

กิจกรรมรำลึกในวันนวมินทรมหาราช

ทุกวันที่ ๑๓ ตุลาคม
ประชาชน หน่วยงานราชการ เอกชน และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ
จะพร้อมใจกันจัดกิจกรรมเพื่อถวายความอาลัยและน้อมรำลึกถึงพระองค์ เช่น

• พิธีวางพวงมาลาและถวายบังคม ณ พระบรมมหาราชวัง
  พระบรมราชานุสาวรีย์ และสถานที่สำคัญทั่วประเทศ

• พิธีทำบุญตักบาตร บำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศล

• การจัดนิทรรศการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ
  เช่น การปลูกต้นไม้ การทำความสะอาดสาธารณสถาน
  และการบรรยายเผยแพร่แนวพระราชดำริ

• การประดับธงชาติและธงพระปรมาภิไธย บี.ภ.
  รวมถึงการตั้งโต๊ะหมู่บูชาและร่วมถวายดอกไม้จันทน์โดยพร้อมเพรียง

กิจกรรมเหล่านี้แม้เป็นเพียงสัญลักษณ์ภายนอก
แต่ล้วนสะท้อน “ความจงรักภักดีที่ซึมลึกอยู่ในหัวใจคนไทยทุกคน”

การประกาศให้เป็นวันสำคัญของชาติ

เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐
คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้วันที่ ๑๓ ตุลาคมของทุกปี
เป็น วันหยุดราชการ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมรำลึกถึงพระองค์

ต่อมาในวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
คณะรัฐมนตรีได้ขอพระราชทานชื่อวันอย่างเป็นทางการว่า
“วันนวมินทรมหาราช” โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
ทรงประทานชื่อดังกล่าว พร้อมพระบรมราชวินิจฉัยประกอบ
และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
เพื่อให้เป็น “วันสำคัญของชาติไทย” สืบไปตราบกาลนาน

สัญลักษณ์แห่งความรักและแรงบันดาลใจ

“ข้าพเจ้าจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
 พระปฐมบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ ๙

ถ้อยคำนี้ยังคงดังก้องอยู่ในใจของคนไทยทุกคน
ตราบเท่าที่แผ่นดินนี้ยังคงมีสายลมพัดผ่านทุ่งนา มีสายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิต
ก็ตราบนั้น พระราชหฤทัยของพระองค์จะยังคงสถิตอยู่ในใจพสกนิกรเสมอ

วันนวมินทรมหาราช จึงไม่เพียงเป็นวันแห่งความอาลัย
แต่คือ “วันแห่งแรงบันดาลใจ” ให้คนไทยทุกคนหันกลับมามองตนเอง
เรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตด้วยความพอเพียง มีคุณธรรม และทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์

เพราะ “รอยเท้าแห่งพ่อหลวง” ยังคงนำทางลูกไทยทุกคน
ให้เดินบนหนทางแห่งความดี ความจริง และความงดงามของชีวิต

“ แม้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย แต่พระบารมีของพระองค์ยังส่องแสงอยู่ในหัวใจไทยทุกดวง ”

วรุณวิชญ์ วงศ์จตุพัฒน์