การผูกดวงชะตาขั้นต้น
ดวงชะตาคืออะไร? ดวงชะตาคือแผนที่ชีวิต สำหรับบุคคลหนึ่งๆ ว่าจะมีวิถีชีวิตเป็นอย่างไร จะมีบุญวาสนา หรือมีกรรมแค่ไหน จะรุ่งโรจน์หรือคับแค้นเป็นต้น ในการผูกดวงชะตานี้ ท่านที่มีความประสงค์จะเป็นโหร ต้องมีการลงทุนซื้อปฏิทินโหราศาสตร์มา จะมีคำอธิบายวิธีใช้ปฏิทินโหราศาสตร์รวมอยู่ด้วยอย่างละเอียดถี่ถ้วน
วิธีผูกดวงชะตา
ท่านให้นับเอาราศีพฤศภ เป็นราศีที่ ๑ ราศีมิถุนเป็นราศีที่ ๒ ราศีกรกฎเป็นราศีที่ ๓ ฯลฯ ราศีเมษ เป็นราศี ๐ หรือราศีที่ ๑๒ ดังในแบบ เมื่อทราบเช่นนี้ เราก็มาเปิดดูในปฏิทินโหร ตรวจดูว่าดาวทุกดวงอยู่ในราศีที่เท่าใด ในนั้น เขาจะบอกไว้ให้เสร็จ คือส่วนมากช่องแรกเขาจะบอกราศี เช่น ๐ คือราศี ๐ หรือราศีเมษ เราก็ดูตรงวันเดือนปีเกิดนั้น ถ้าเห็นว่าอาทิตย์อยู่ราศี ๐ เราก็วางอาทิตย์ไว้ในราศี ๐ ช่องถัดมาก็เป็นองศาลิปดาของอาทิตย์ เราก็เอามาใส่ตรงช่องกลางดวงเพื่อเอาไว้หาลัคนา ช่องต่อมาก็เป็นดาวจันทร์ เราก็ดูว่าจันทร์อยู่ราศีที่เท่าใด ก็เอาไปวางไว้ช่องราศีที่เท่านั้นเหมือนกัน ตลอดจนดาวอื่นๆ ก็วิธีเดียวกัน แต่ส่วนมากปฏิทินของโหรไทยเรามักวางดาวอังคารถึงมฤตยูไว้ในช่องท้าย เดือนหรือสิ้นปัก การอ่านปฏิทินส่วนมากเขาก็อธิบายไว้แล้วในตอนต้นของปฏิทินทุกๆ เล่ม หรือแต่ในตัวปฏิทินเอง ก็มีกล่าวไว้ถ้าเราเข้าใจก็จะทราบได้ทันที
การวางลัคนา
เมื่อวางดวงดาวต่างๆ ตามราศีจนครบ ๑๐ ดวงดาวแล้ว ขั้นต่อไป ก็เป็นการวางลัคนา ลัคนาสำเร็จมาจากอันโตนาฑีประจำราศี ดังได้วางให้ดูในรูปนั้นแล้ว คือเริ่มต้นให้ดูว่าบุคคลผู้นั้นเกิดหลังจากอาทิตย์ไปแล้วกี่ชั่วโมง กี่นาที แล้วเอาตั้งไว้ มาดูองศาลิปดาของอาทิตย์นับถอยหลังมาวันหนึ่งจากวันเกิด เช่นวันเกิดที่ ๒ ก็มาดูวันที่ ๑ มีกี่องศาลิปดา เอาจำนวนองศาตั้งลง เอาเกณฑ์ ๖๐ คูณ เพื่อกระจายให้เป็นลิปดา แล้วเอาจำนวนลิปดามาบวกเข้า ได้ผลลัพธ์เท่าใด เอาไปคูณกับจำนวนอันโตนาฑีประจำราศีที่ดาวอาทิตย์อยู่แล้วเอาเกณฑ์ ๑๗๐๐ เป็นตัวหาร เลขจำนวนลัพธ์ก็เป็นเวลาอดีตที่อาทิตย์โคจรผ่านมาแล้วเท่านั้น นาที-วินาที เอาอันโตนาฑีประจำราศีที่อาทิตย์สถิตตั้งลง เอาผลลัพธ์ที่ได้ในการเอา ๑๘๐๐ หารมาลบ เหลือเท่าใดก็เป็นจำนวนนาที ที่อาทิตย์จะเดินต่อไปจนสุดราศีนั้น เอาจำนวนเวลา ๐๖.๐๐ น. ตั้งลง เอาลัพธ์ที่ลบเหลือมาบวกเข้าจนถึงเวลาที่คนเกิด ถ้าไม่พอก็เอาอันดตนาฑีในราศีข้างหน้ามาบอกต่อไปจนถึงเวลาเกิด ถึงราศีใด ลัคนาสถิตอยู่ในราศีนั้น แต่ปัจจุบันนี้มีผู้ทำลัคนาสำเร็จไว้ให้แล้วจึงไม่ลำบากแก่การคำนวณ
ภาพอันโตนาฑีประจำราศี
สำหรับอันโตนาทีประจำราศีต่างๆ ในภาพจะเห็นว่าในราศีมิถุน กับราศีมังกร ระยะเวลา ราศีละ ๗๒ เท่ากัน คือแคบที่สุด ท่านจะเห็นลำดับเพิ่มของจำนวนอันโตนาทีเพิ่มขึ้นเป็น ๒ โค้ง โค้งบนคือราศีพฤศภ เมษ ถึง กุมภ์ โค้งนี้แสดงขณะอาทิตย์อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร และอีกโค้งข้างล่างแสดงถึงขณะอาทิตย์อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร
อันโตนาทีประโยชน์สำหรับดูว่า ณ จุดที่เราอยู่ได้โคจรไป ณ ส่วนใดในราศีต่างๆ กล่าวคือ ราศีอะไรโผล่มาทางขอบฟ้าตะวันออก ณ จุดเวลาเกิด ถือว่าจุดเวลานั้นอยู่ที่ราศีนั้น ซึ่งความจริงเราจะคิดถึงราศีบนศีรษะของเราเป็นหลักแล้ว มักจะต่างกัน ๙๐ องศากับความจริง ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะราศีอยู่บนศีรษะเรานั้น โหราจารย์ถือว่าไม่แสดงอิทธิพลอะไร ส่วนราศีทำมุม ๙๐ องศา (เส้นสัมผัสผิวโลก) กับเรานั่นสิให้แรง (ทางแมกคานิกส์ คือแรงมุมเพราะทำมุม ๙๐ องศากับแกน) เหตุนี้จึงมีการคำนวณอันโตนาฑีเพื่อใช้เป็นหลักในการมองเห็นว่า ณ จุดเวลาเกิดเราเห็นราศีอะไรก่อนโผล่ขึ้นมา ก็ถือว่าเราเกิด ณ จุดเวลานั้น อยู่ที่ราศีนั้น ซึ่งระยะที่เราเห็นราศีต่างๆ โผล่ทางขอบฟ้าตะวันออกนั้นเปลี่ยนไปตลอดเวลา ตามตำแหน่งที่พระอาทิตย์โคจรปัดเหนือหรือปัดใต้
อันโตนาทีตามจำนวนนาทีในรูป ท่านต้องจำไว้เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการหาว่า ณ จุดเวลาเกิดของบุคคลนั้นอยู่ ณ ที่ใดในจักรวาล เรื่องอันโตนาฑี ท่านต้องอ่านและเขียนรูปดู หากท่านหาส้มโอมาสักผลหนึ่ง ลองตะแคงดูกับแสงไฟ แล้วลองหมุนดูตำแหน่งต่างๆ ท่านจะเข้าใจทันที ในการอธิบายโดยแสดงรูปทรวดทรงนั้น ทำให้เกิดการเข้าใจยากเหลือเกิน เพราะรูปมองเห็นด้านเดียวเท่านั้น
อันโตนาทีคืออะไร? คือ ระยะเวลาจุหนึ่งบนโลกหมุนผ่านราศีต่างๆ แต่ละราศีไม่เท่ากัน ตามรูปการโคจรของโลกท่านจะเห็นว่า เนื่องจากโลกเอียงแกนให้ดวงอาทิตย์นี่เอง จึงเกิดเห็นดวงอาทิตย์อ้อมเหนือและอ้อมใต้ เกิดฤดูกาลต่างๆ ขึ้น
๑. อาทิตย์อ้อมเหนือ คือฉายแสงอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรของโลก บริเวณความสว่างจะครอบคลุมถึงบริเวณขั้วโลก ในตอนนี้จะเป็นราวๆ เดือนมีนาคม-สิงหาคม ในเมืองไทยซึ่งอาทิตย์อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรก็กลายเป็นฤดูร้อน เราจะสังเกตต่อไปว่าเวลากลางวันยาวมาก (เวลากลไกนั้นเราถือคงที่จากนาฬิกา) จะเห็นว่าเวลา ๑๙.๐๐ น. แล้วบางวันยังไม่มืด และเวลารุ่งอรุณเล่า ๐๕.๐๐ น. ก็รีบสว่างแล้ว
ถ้าท่านสังเกตภาพจะเห็นและเข้าใจทันทีว่า ขณะอาทิตย์ลอยอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรกับขณะอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรนั้น กลางวันกลางคืนมีระยะต่างกันอย่างไร
๒. สำหรับอาทิตย์อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรก็เช่นเดียวกัน ข้อสำคัญทางโหราศาสตร์ไทยเราถือเอาเวลา ๐๖.๐๐ น. เป็นเวลาแรกเห็นอาทิตย์ หรืออาทิตย์อุทัยเป็นเกณฑ์อาทิตย์ที่เราเห็นเวลา ๐๖.๐๐ น. นั้น อยู่ตรงตามราศีและองศาอาทิตย์ในปฏิทิน แต่เมื่อการเห็นอาทิตย์เร็วและช้าไปจาก ๐๖.๐๐ น. ดังกล่าวนี้ จึงได้กำหนดความกว้างของระยะใน ๑ ราศีที่จุดหนึ่งบนโลก ณ เวลา ๐๖.๐๐ น. ผ่านไปต่างๆ กัน แต่ผลรวมสุดท้ายจะเท่ากับ ๒๔ ชั่วโมง อันเป็นเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเองนั่นเอง หลักการในการแบ่งระยะเวลาในการผ่านราศีของโลกนั้น อาศัยเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเองนั่นเอง หลักการในการแบ่งระยะเวลาในการผ่านราศีของโลกนั้น อาศัยการสังเกต ณ ตำบลอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรเป็นมุมราว ๑๓ องศา คือที่กรุงเทพฯ ประกอบกับการสังเกตวิถีโคจรของอาทิตย์ขึ้นเหนือและใต้เส้นศูนย์สูตร ณ จุดต่างๆ ภายใน ๑ ปีว่า ทำให้ตำบลกรุงเทพฯ มีการมองเห็นดวงอาทิตย์รุ่งอรุณ ผิดจากความจริงจากเวลา ๐๖.๐๐ น. ไปเป็นเวลาเท่าใด... ฉะนั้นการคำนวณกำหนดอันโตนาทีของเรา จึงนับว่าใช้ได้เฉพาะกรุงเทพฯ เท่านั้น ส่วน ณ ตำบลอื่นๆ ที่เหนือหรือใต้กรุงเทพฯ ไปมากๆ แล้วย่อมมีความคลาดเคลื่อนไปจากความจริง
สำหรับประเทศไทยเรามีอาณาเขตจากมุม ๕ องศา ถึง ๒๐ องศาเหนือเส้นศูนย์สูตร จึงถือเอาอันโตนาทีที่ทำเฉพาะองศา ๑๓ องศา ใช้โดยทั่วไป ฉะนั้นในการวางลัคนากำเนิดในขณะอาทิตย์องศาอาทิตย์อยู่ราวๆ กลางราศี จะเห็นว่าใช้การได้ดี หากคนเกิดองศาอาทิตย์อ่อนหรือแก่เกินไปแล้วย่อมเกิดความบกพร่องในตำแหน่งของลัคนาเป็นอันมาก องศาที่เพิ่มขึ้นไปทางเหนือและทางใต้จากกรุงเทพฯ จากการคำนวณได้ผลคือผลต่างองศาละ ๖ นาที ในปัจจุบันนี้ มีโหราจารย์หลายท่าน ได้คำนวณอันโตนาทีสำหรับใช้ประจำตำบลต่างๆ ภายในประเทศของเรา นับจากเหนือสุดถึงใต้สุด เรียกว่าลัคนาสำเร็จ ได้ทดลองใช้แล้วปรากฏได้ผลดีเร็วทันใจ
ข้อความเข้าใจในการผูกชะตากำเนิด
ก่อนที่จะเข้าใจถึงการผูกดวงชาตากำเนิด ท่านต้องเข้าใจในการใช้ปฏิทินเสียก่อน นักศึกษาวิชาโหราศาสตร์ทุกคนจำเป็นต้องมีปฏิทินอดีตจำนวนหลายๆ ปี เพื่อผูกดวงของคนที่เกิดแล้วล่วงมาหลายๆ ปี กับต้องมีปฏิทินปัจจุบันและอนาคต คือปฏิทินประจำปีในขณะนี้ ปฏิทินโหราศาสตร์มีหลายแบบ ในเล่มนั้นมีคำอธิบายในการดูและการใช้ปฏิทินอย่างละเอียดลออ พร้อมกับมีหลายอย่างที่ควรอ่าน ฉะนั้นเราจึงไม่อธิบายการดูปฏิทินในตอนนี้ เพราะปฏิทินอดีตปัจจุบันและอนาคต ก็อ่านเช่นเดียวกัน และนักโหราศาสตร์ทุกท่านจำเป็นต้องมีอยู่แล้ว
บัดนี้ ท่านได้มาถึงความสำคัญของวิชาโหราศาสตร์แล้วในปัจจุบัน การผูกดวงชาตาจากปฏิทินโหราศาสตร์ง่ายเหมือนบวกเลข ใครก็สามารถเข้าใจ และทำได้รวดเร็วเมื่อผูกดวงชาตาแล้วเสร็จ ก็ดูคล้ายกับเรามองเห็นบุคคลนั้นโดยทะลุปรุโปร่ง
สิ่งที่ต้องทราบ
๑. วันเกิด วันเกิดอะไร นับจากพระอาทิตย์ขึ้นเป็นวันใหม่ (กี่นาฬิกา) กับตรงกับวันที่เท่าไร
๒. เดือน ทางจันทรคติ คือ เดือน อ้าย ยี่ สาม สี่ ถึงเดือน ๑๒ ทางสุริยคติ คือ เดือน เมษา ถึงมีนา เราต้องรู้ทั้ง ๒ ประเภท เพื่อสอบให้ตรงกัน
๓. ขึ้น หรือ แรมกี่ค่ำ เพื่อสอบกับวันที่
๔. ปี ปี ชวด ฉลู ถึง กุน ตรงกับ พ.ศ. เท่าใด
๕. เวลาเกิด กี่นาฬิกา เอาเวลา ณ จุดเวลาที่เด็กเริ่มหายใจ เรียกว่าเวลาตกฟาก แล้วลบออก ๑๘ นาที เฉพาะผู้ที่เกิดในจังหวัดพระนคร และธนบุรี
สำหรับ วัน เดือน ปี ขึ้น แรม และเวลาเกิดนี้ จำต้องสอบให้ตรงกันถูกต้องแน่นอนเสียก่อนจึงทำการผูกดวงชาตาได้ เมื่อได้ดวงชาตากำเนิดแล้ว ถือเงาฉายของดวงดาวในจักรวาลลงบนพื้นราบ เพื่อดูตำแหน่งสัมพันธ์ทางราบกับจุดเวลาเกิด ณ ราศีที่อยู่
เหตุที่ลบออก ๑๘ นาที เพราะการเทียบเวลาในเมืองไทยเกินไป ๑๘ นาทีจากเวลาสากล ที่คิดตามจุดต่างๆ บนพื้นโลก รายละเอียดที่ต้องลบออก คือผู้ที่เกิดแต่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ขึ้นมาถึงปัจจุบัน และต้องเพิ่มสำหรับผู้ที่ต่ำกว่า ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ลงไปและรายละเอียดที่จะต้องลบออกและเพิ่ม จะเอาไว้กล่าวในเรื่องเวลาอัตราท้องถิ่น
การปฏิบัติในเวลาผูกดวงชาตา ต้องวางดวงดาวเคราะห์ต่างๆ ทุกดวงลงในช่องราศีของวันที่เกิด แล้วแต่ดาวดวงใดจะสถิตอยู่ในราศีใดๆ ก็ตาม โดยดูจากปฏิทินโหราศาสตร์บอกสมผุสไว้เฉพาะวันทายปักษ์ หรือสิ้นเดือนเท่านั้น เมื่อวันเกิดอยู่กลางๆ ปักษ์ของเดือนก็ใช้การคำนวณหาผลต่างๆ เพื่อดูสมผุสที่แท้ ปฏิทินของหลวงอรรถ มีวิธีคำนวณประกอบตารางตัวเลขต่างๆ ไว้อย่างละเอียด ปฏิทินของอาจารย์ทองเจือ อ่างแก้ว ที่สร้างขึ้นใหม่มีสมผุสดาวทุกดวงทุกวัน สะดวกมากกับผู้ใช้ ไม่ต้องมานั่งคำนวณอีก เอาเวลานั่งคำนวณไว้ค้นคว้าหาความรู้ดีกว่าเมื่อเราวางดวงดาวเคราะห์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็วางลัคนาจุดเวลาเกิดลงในดวงนั้น เสร็จแล้วก็หาตนุเศษต่อไป (การหาตนุเศษจะกล่าวต่อไปในตอนหลัง)
ตัวอย่างการผูกดวงชะตา
สมมุติ วันเกิดของเด็กชาย ก. เกิดวันจันทร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะแมตรงกับวันที่ ๓๐ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๑๐ เวลาเกิด ๐๖.๒๐ นาฬิกา
ผูกดวงชาตาสมมุติตามปฏิทินของ อาจารย์ทองเจือ อ่างแก้ว จะได้ตำแหน่งดวงดาวเคราะห์ ดังนี้ คือ :-
อาทิตย์ อักษร อ. เลข ๑. สถิตอยู่ราศี มังกร
จันทร์ อักษร จ. เลข ๒. สถิตอยู่ราศี กันย์
อังคาร อักษร ภ. เลข ๓. สถิตอยู่ราศี ตุลย์
พุธ อักษร ว. เลข ๔. สถิตอยู่ราศี กุมภ์
พฤหัสบดี อักษร ช. เลข ๕. สถิตอยู่ราศี กรกฎ
ศุกร์ อักษร ศ. เลข ๖. สถิตอยู่ราศี กุมภ์
เสาร์ อักษร ส. เลข ๗. สถิตอยู่ราศี กุมภ์
ราหู อักษร ร. เลข ๘. สถิตอยู่ราศี เมษ
เกตุ อักษร ก. เลข ๙. สถิตอยู่ราศี ธนู
มฤตยู อักษร ม. เลข ๐. สถิตอยู่ราศี สิงห์
ลัคนา สถิตราศีมังกร
ดวงชะตาที่ผูกเสร็จแล้ว
ตัวอย่างปฏิทินโหราศาสตร์
ของอาจารย์ทองเจือ อ่างแก้ว
มะแม พ.ศ. 2510 จ.ศ. 1328 ปกติมาศ ปกติวาร ปกติสุรทิน
วิธีอ่านปฏิทินโหราศาสตร์
ปฏิทินโหราศาสตร์แบบนี้ แบ่งออกเป็น ๑๐ ช่อง
ช่องที่ ๑ แสดงตำแหน่งของดาวอาทิตย์ มี ๓ ช่อง คือ ราศี องศา ลิปตา เมื่อเวลา ๒๔.๐๐ น.
ช่องที่ ๒ แสดงตำแหน่งของดาวจันทร์ มี ๓ ช่อง คือ ราศี องศา ลิปดา เมื่อเวลา ๒๔.๐๐ น.
ช่องที่ ๓ บอกเวลาที่ดาวจันทร์ย้ายราศี
ช่องที่ ๔ บอกฤกษ์ของดาวจันทร์ที่ผ่านไปแล้ว และนาทีฤกษ์
ช่องที่ ๕ บอกดิถีของดาวจันทร์ที่ผ่านไปแล้ว และนาทีดิถี
ช่องที่ ๖ บอกวันในสัปดาห์ ใช้อักษรแทนวัน คือ อ.-อาทิตย์ จ.-จันทร์ ภ.-อังคาร ว.-พุธ ช.-พฤหัสบดี ศ.-ศุกร์ ส.-เสาร์
ช่องที่ ๗ บอกขึ้นแรมทางจันทรคติแบบไทย
ช่องที่ ๘ บอกเดือน ทางจันทรคติ
ช่องที่ ๙ บอกวันที่ ทางสุริยคติ
ช่องที่ ๑๐ แสดงตำแหน่งของดาวที่ย้ายราศีเวลา ๒๔.๐๐ น. มี ๓ ช่อง คือ ราศี องศา ลิปดา อักษรแทนดาว ส่วนเลขข้างหลักดาว แสดงเวลาที่เข้าสู่ราศีนั้น อักษรหลังเวลา ส.=เสริด ม.=มนท์ พ.=พักร ดวงชาตาแสดงตำแหน่งของดาววันสิ้นเดือนตัวเลขแสดงราศี องศา ลิปดา ของดาวต่างๆ ในวันสิ้นเดือน ส่วนเลขแถวหลัง ดาว คือ ฤกษ์ และนาทีฤกษ์
ข้อควรระวังเมื่อขณะผูกดวงชะตา
๑. ระวังดาวจันทร์ จะย้ายเข้าราศีอะไร เวลาเท่าไร
- ในวันที่เกิด ถ้าเกิดก่อนเวลาจันทร์ย้าย หมายความว่า ผู้นั้นยังเกิดไม่ถึงราศีที่จันทร์ย้ายเข้ามาในราศีนั้นๆ
ตัวอย่าง เช่น
- นาย ก. เกิดวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๗๐ เวลา ๐๗.๐๐ น.
- ในปฏิทินโหร วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๔๗๐ จันทร์อยู่ราศีที่ ๗ เวลา ๑๓.๐๕ น. นี่ก็แสดงว่านาย ก. ยังเกิดไม่ถึงเวลา ๑๓.๐๕ น.
- ฉะนั้น ราศีที่ “จันทร์” ต้องอยู่ในราศีที่ ๖ ก่อน
- หากนาย ก. เกิดเวลา ๑๓.๐๕ น. หรือ ๑๓.๑๐ น. ๑๘.๐๐ น. กระทั่งถึงเวลา ๑๓.๐๔ น. ของวันใหม่ จันทร์จึงจะอยู่ราศีที่ ๗
๒. สำหรับดวงดาวต่างๆ แต่อังคาร-มฤตยู ก็ต้องดูเวลาของดวงดาวเหล่านั้นด้วยว่า ดวงดาวย้ายราศีแล้วหรือยัง เขาจะบอกดาวย้ายราศีไว้
- หากดาวดวงใดย้ายราศี เวลาเท่าใด ผู้ที่เกิดถ้าเกิดก่อนเวลาของดาวที่ย้ายนั้น ก็ให้นับดาวราศีดวงนั้น ยังไม่ย้ายราศีนั้น
- สมมุติว่า ดาวอังคาร ย้ายราศี วันที่เท่าใด เวลาอะไร เช่น ย้ายเวลา ๑๘.๒๒ น. ของวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๔๗๒ ดาวอังคารอยู่ราศีที่ ๙ ผู้ที่เกิด ยังเกิดไม่ถึงเวลาของดาวย้าย ต้องคิดว่าดาวอังคารยังอยู่ราศีที่ ๘ เดิมก่อน
อธิบายการอ่านปฏิทินโหราศาสตร์ขณะผูกดวงชะตา
การผูกดวงชาตาตามปฏิทินของอาจารย์ทองเจือ อ่างแก้ว เมื่อเขาบอกวัน เดือน ปีเกิด และเวลาเกิด สถานที่เกิดให้เราทราบแล้ว เราก็นำปฏิทินมาเปิดดูว่า ปีอะไรอยู่ซ้ายมือตอนบน บอกปี และ พ.ศ. ไว้ ส่วนเดือนบอกไว้ข้างล่างใกล้กับดวงที่ผูกไว้สิ้นเดือน ส่วนวันที่อยู่ริมขวามือ ต่อจากนั้นมีช่องเขาเขียนตัวอักษร ด.ไว้ ต่อจากนั้นอีกจะมีบอกอักษรไว้ว่า ข.ร. คือช่องข้างขึ้นข้างแรม ต่อมาข้างซ้ายอีก บอกวาร (คือวัน) มีอักษรวัน อักษร อ. หมายถึง วันอาทิตย์ จ.-จันทร์ ภ.-อังคาร ว.-พุธ ช.-พฤหัสบดี ศ.-ศุกร์ ส.-เสาร์ เมื่อเทียบวันเดือนปีเกิด ถูกต้องแล้ว ก็ขีดดวงชาตาลงในกระดานหรือกระดาษ แล้วแต่จะสะดวก
ตอนซ้ายมือสุด บอกดาวอาทิตย์ เขาขีดช่องไว้ ๓ ช่อง ช่องแรกเป็นราศี อาทิตย์ช่องที่ ๒ เป็นองศาอาทิตย์ ช่องที่ ๓ เป็นลิปดาอาทิตย์ ควรเอาไม้บรรทัดวางไว้ให้ตรงกับวันเดือนปีเกิด ถ้าช่องซ้ายสุดของอาทิตย์มีอักษรเลข ๐ ไว้เช่นนี้ ให้เอาเลข ๑ คือดาวอาทิตย์ เขียนลงในราศีเมษ ถ้าช่องซ้ายสุดของอาทิตย์ เขาเขียนเลข ๑ ไว้ เราก็เขียนเลข ๑ ดาวอาทิตย์ลงในราศีพฤศภ ถ้าเขาเขียนเลข ๒ ไว้ เราก็เขียนเลข ๑ ดาวอาทิตย์ลงในราศีมิถุน ฯลฯ ช่องที่ ๒ เป็นช่ององศานั้น เราก็ดูองศาอาทิตย์เท่าใดและลิปดาเท่าใด เราก็เขียนลงตรงกลางของดวงชาตา เอาองศาไว้บนเอาลิปดาไว้ล่าง องศาอาทิตย์นี้จะขาดมิได้ เพราะการหาลัคนา ต้องหาจากองศาของอาทิตย์นี้ด้วย
ช่องต่อจากอาทิตย์ คือดาวจันทร์ เขาขีดไว้ ๔ ช่อง มากกว่าอาทิตย์ ๑ ช่อง เนื่องจากดาวจันทร์โคจรเร็ว ราศีละ ๒ วันครึ่ง ช่องที่ ๑ เป็นช่องบอกดาวยกไว้ด้วย (ดาวจันทร์ย้ายราศี) จึงเป็นช่องสำคัญมาก เช่น จันทร์อยู่ในราศีที่ ๑ แต่ในช่องที่ ๔ บอกเวลา ๐๑.๐๐ น. หมายความว่า จันทร์ยก ย้ายเข้าราศีที่ ๑ เวลาตี ๑ แต่ผู้นั้นเกิดก่อนเวลาตี ๑ ก็หมายความว่าจันทร์ยังอยู่ในราศีเมษ คือราศี ๐ เพราะเวลาวันเกิดนั้นจันทร์ยังไม่ยก ย้ายเข้าราศีที่ ๑ การผูกดวงชาตาขอให้ถือว่าจันทร์สำคัญมาก หากผิดพลาดขึ้นต้นตรงจันทร์ย้ายราศีแล้ว การพยากรณ์ผิดพลาดไปหมด เพราะดาวจันทร์เป็นของสำคัญรองจากดวงอาทิตย์
ช่องดาวย้ายราศี ซึ่งอยู่ในช่องขวามือสุดนั้น เป็นของสำคัญมากไม่น้อยเหมือนกัน มักจะเผลอกันบ่อยๆ เพราะดาว ๒ ดวงที่ยุ่งมาก ประเดี๋ยวเดินเร็ว ประเดี๋ยวเดินช้า นานๆ จึงจะเดินปกติ คือ ดาวพุธ และดาวศุกร์ ดาว ๒ ดวงนี้ยุ่งเหมือนกับตัวของเราเอง ความหมายของดาวพุธ คือ สติปัญญา และการแสวงหาเงินทอง ส่วนดาวศุกร์หมายถึง กามารมณ์ คือความสุขสำราญ และลาภผล
ช่องดาวย้ายราศีนี้ จะแสดงดาวย้ายราศี นับแต่ดาวอังคาร, พุธ, พฤหัสบดี, ศุกร์, เสาร์, ราหู, เกตุ, มฤตยู เช่นเขียนไว้ว่า ๐ ๐.๒๐ ภ. ๑๒. ๑๕ หมายความว่า ดาวอังคารย้ายเข้าราศีเมษ เวลา ๑๒.๑๕ น. หากหลังเวลามีอักษร พ. หมายความว่า พักรด้วย ถ้ามี ม. หมายความว่า มนท์ ถ้า ส. หมายความว่า เสริด ดาวทั้ง ๘ ดวงนี้เขาจะมารวมไว้ตอนล่างสุดขวามือตรงกับดาวย้ายราศี แถวหน้าบนบอกราศีอังคาร ช่องที่ ๒ บอกองศา ช่องที่ ๓ บอกลิปดา ช่องที่ ๔ บอกชื่อดาว ช่องที่ ๕ บอกฤกษ์ ช่องที่ ๖ บอกนาที ฤกษ์ที่ดาวนั้นๆ ผ่านฤกษ์นั้นๆ ไปได้กี่นาทีฤกษ์ เขากรอกเรียงลงไปตามลำดับจนถึงมฤตยู สำหรับดวงที่เขาผูกไว้นั้นในมุมปฏิทินเป็นวันสิ้นเดือนของเดือนนั้น โดยถือเวลา ๒๔.๐๐ น.
สำหรับราหู และเกตุ เดินนอกแบบ ผิดกับดาวทั้งหลาย คือเดินลดองศาลิปดาและทวนราศีผิดกับดาวอื่นๆ
การเขียนดาวเคราะห์ลงในราศี เมื่อเราทราบตำแหน่งของดาวเคราะห์ทุกๆ ดวงดาวแล้ว ตลอดทั้งองศาลิปดาดีแล้วว่าอยู่ราศีใดบ้าง ก็เขียนลงตามช่องราศีนั้นให้ครบทั้ง ๑๐ ดวง แต่การเขียนดาวเคราะห์ มีกฎเกณฑ์การเขียนที่ถูกต้องคือ ดาวเคราะห์ใด มีองศาแต่ ๐-๙ องศา เขียนเลขดาวเคราะห์นั้นๆ ชิดทางขวาของราศี ถ้าดาวเคราะห์ใดมีองศา ๑๐ ถึง ๑๙ องศา เขียนเลขดาวเคราะห์นั้นๆ ตรงกลางของช่องราศี และ ๒๐ ถึง ๒๙ องศา เขียนเลขดาวเคราะห์ชิดซ้าย ทั้งนี้เพื่อสะดวกการอ่านดวงชาตาพยากรณ์
การวางลัคนา เมื่อผูกดวงชาตา วางดวงดาวลงในช่องราศีถูกต้องดีแล้ว แต่ยังไม่ได้วางลัคนา จึงขอแนะนำให้ซื้อลัคนาสำเร็จ ของอาจารย์สิงห์โต สินสันธิ์เทศ ราคาแผ่นละ ๑๐ บาท จะมีคำอธิบายวิธีใช้เข้าใจง่าย และวางลัคนาได้รวดเร็วทันใจถูกต้องดี ไม่ควรจะเอาหัวสมองไปนั่งคำนวณ เอาเวลามาอ่านตำราดีกว่า
วิธีวางลัคนาโดยใช้ลัคนาสำเร็จนี้ เราก็ควรตรวจดูดวงที่เขียนไว้แล้วนั้น ให้ดูที่ดาวอาทิตย์เป็นเครื่องหมายสำคัญคือเลข ๑ อยู่ในราศีใด แล้วหมุนแผ่นลัคนาสำเร็จไปให้ตรงกับเลข ๖ ซึ่งมีลูกศรแดงในราศีที่อาศัยอยู่ มีเส้นซ้าย-เส้นขวา อาทิตย์อยู่กลางเราวางให้ตรงเส้นขวาของอาทิตย์ให้ตรงกับลูกศร แล้วเราไปดูที่ดวงชาตาที่ผูกไว้องศาอาทิตย์อยู่ตรงกลางดวงมีจำนวนเท่าไร แล้วหมุนไปตามขวามือเท่าจำนวนองศาของอาทิตย์ มีเส้นดำริมนอกเล็กบอกเส้นละองศา พบครบ ๕ องศาจะมีขีดแดงบอก ราศีหนึ่งมี ๓๐ องศา ครั้นหมุนครบองศาอาทิตย์แล้วก็หยุดทันที ต่อจากนั้นเราไปดูว่าเวลาเกิด เป็นเวลาเท่าใดในแผ่นนอกที่ไม่หมุนนั้น เขาบอกเวลาไว้แล้ว ตั้งแต่ ๑ ถึง ๒๔ คือ ๑ วัน เราจะรู้ได้เวลาเกิดของผู้นั้น ดูราศี แผ่นเล็กที่หมุนบอกไว้ทั้ง ๑๒ ราศี หากเวลาเกิดตรงกับราศีใด ก็ให้วางลัคนาลงในราศีนั้น และดูลัคนาเวลาเกิดด้วยจะได้กี่องศา ถือเกณฑ์การเขียนลัคนาแบบเดียวกับการเขียนดวงดาว และการเขียนลัคนาที่ถูกต้อง ควรเขียน อักษร ล.
ตัวอย่างลัคนาสำเร็จ
หากว่าลัคนาคาบเส้น เกิดความสงสัยว่า ลัคนาจะอยู่ราศีใดแน่ เราต้องเรียนรู้ถึงดวงอาทิตย์ขึ้นและตกในวันเดือนที่เกิดนั้น พระอาทิตย์ขึ้นเวลาเท่าใด เพราะเวลาของนาฬิกาเขาใช้แบบสากล แต่โหราศาสตร์ถืออาทิตย์เป็นกฎเกณฑ์ พระอาทิตย์ขึ้นจึงจะเรียกว่าวันใหม่ บางเดือนบางวันพระอาทิตย์ขึ้นเวลา ๐๕.๓๐ น. และบางเดือน บางวันพระอาทิตย์ขึ้นเวลา ๐๖.๔๐ น. เราตัดทอนได้ การวางลัคนาเป็นของสำคัญมาก หากเราได้ตรวจสอบทุกๆ ด้าน ความผิดพลาดอาจจะไม่มี หากจะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย ขั้นแรกๆ รู้สึกว่าจะลำบากสักหน่อย แต่ต่อไปจะได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น
เมื่อผูกดวงชาตาวางลัคนาเรียบร้อยแล้ว ดังตัวอย่างประกอบคำอธิบายมานี้ แต่ก็ยังไม่เรียบร้อยที่จะใช้พยากรณ์ได้ ต้องหาตนุเศษอีก
การหาตนุเศษ
การหาตนุเศษ คือให้ดูว่า ลัคนาอยู่ในราศีใด มีดาวอะไรเป็นเกษตร เริ่มนับลัคนาเป็น ๑ ไปหาดาวตนุลัคน์ของตน (คือดาวเจ้าเรือนเกษตรประจำราศีลัคนา) นับได้เท่าใดเป็นจำนวนตั้งลง แล้วเอาราศีที่ดาวตนุลัคน์ของตนสถิตอยู่เป็น ๑ นับไปหาดาวเจ้าเรือนเกษตรที่ดาวตนุลัคน์อาศัยอยู่ ได้เท่าใดเอามาคูณ แล้วเอา ๗ หาร เหลือเศษเท่าใดให้ไปกากบาทที่จำนวนเศษนั้นคือกาลงที่ดวงดาวที่เป็นจำนวนเศษนั้นเอง เรียกว่าตนุเศษ หากลัคนา อยู่ในราศีที่มีดาวเกษตรเป็นเจ้าเรือนประจำอยู่ หรือเรียกว่าดาวเกษตรกุมลัคน์อยู่ด้วยแล้ว จะนับได้ ๑ และไม่ต้องนับต่อไปอีก ให้ถือว่าเศษ ๑ หรือดาวอาทิตย์ คือ ๑ เป็นตนุเศษ
ถ้าลัคนาอยู่ราศีกุมภ์ให้นับหาเสาร์ ไม่ใช่นับหาราหู เพราะราหูไม่มีเกณฑ์เป็นตนุเศษ
ตนุเศษนี้ ท่านกล่าวว่ามีคุณสมบัติเทียบเท่า ลัคนา คือเป็นลัคนาได้อีกตัวหนึ่ง แต่ตนุเศษ หมายถึง นิสัยหรืออารมณ์ของบุคคล ดาวอะไรเป็นตนุเศษ ก็มีนิสัยหรืออารมณ์ตามนั้น
สำหรับคนที่ไม่รู้เวลาเกิด หรือเวลาเกิดไม่แน่นอน ใช้ดาวอาทิตย์แทนลัคนาดีพอกับลัคนาเหมือนกัน สำหรับดาวจันทร์ ทายแทนลัคนาได้อีกเช่นกัน สำหรับคนที่ไม่รู้เวลาเกิด
บางคนหาตนุเศษ เพื่อทายนิสัย หรืออารมณ์ของดาวต่างๆ อีก คือต้องการดูนิสัยเรื่องเงินทองของตน ก็จับเราเรือนกฎุมพะเป็น ๑ แล้วหาวิธีเดียวกัน เท่าที่อธิบายมานี้เราก็คำนวณดวงชะตาตัวอย่างได้ถูกต้องโดยสมบูรณ์ ดังนี้
เมื่อได้ดวงชะตา มีลัคนาสถิตอยู่ ณ ราศีใดแล้ว ให้นับราศีที่ลัคนานั้นเป็นเรือนชาตา หรือเรียกว่าภพ มีอยู่ ๑๒ เรือน หรือ ๑๒ ภพ
โดยเฉพาะที่ลัคนาสถิตอยู่ เป็นเรือนชาตาที่ ๑ หรือภพที่ ๑ แล้วนับทวนเข็มนาฬิกาหรือนับเวียนซ้ายต่อไป เป็นเรือนที่ ๒ หรือภพที่ ๒ จนถึง ๑๒ เรือน หรือ ๑๒ ภพ ซึ่งนับเรียงกันไปดังนี้
ตนุ กฎุมพะ สหัชชะ พันธุ ปุตตะ อริ ปัตนิ มรณะ ศุภะ กัมมะ ลาภะ วินาศ รวม ๑๒ เรือน หรือ ๑๒ ภพ
ความหมายของภพ
ภพ เรียกตามไทยว่า เรือนชะตา มีอยู่ ๑๒ เรือน หรือ ๑๒ ภพ เมื่อคำนวณดวงชะตา วางลัคนาเรียบร้อยแล้ว ให้ถือเอาภพที่ลัคนาสถิต เป็นภพที่ ๑ แล้วนับเวียนซ้ายเรียงลำดับกันไป ซึ่งมีความหมายแต่ละภพ ดังนี้
๑. ตนุ แปลว่า ตัวตน - ได้แก่ รูปร่าง สภาพของบุคคล นิสัย ความประพฤติ จริต กิริยา สุขภาพ อนามัย ที่อยู่อาศัย (ตัวตน หมายถึง ตั้งแต่ศีรษะจนจรดเท้า)
๒. กฎุมพะ แปลว่า สมบัติ - ได้แก่ ทรัพย์สินเงินทอง ที่อื่นๆ เรียกว่า ศูนย์พาหะคือทำให้เกิดกำลัง หรือหมายถึงครอบครัวก็ได้
๓. สหัชชะ แปลว่า เกิดร่วมกัน - ได้แก่ เพื่อน คนใกล้ชิด พี่น้องที่เกิดท้องเดียวกัน เรื่องเพื่อนต้องหมายถึงการษมาคม ทางสากลจึงหมายเอาถึงการเขียนจดหมาย การเดินทางใกล้ๆ ได้อีก
๔. พันธุ แปลว่า ที่ติดเนื่องกัน - ได้แก่ สิ่งที่ติดเนื่องมากับเจ้าชาตาเวลาเกิด เช่น บ้าน ที่ดิน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ทางภารตะหมายถึงความสุขทั่วๆ ไป การศึกาและยานพาหนะ
๕. ปุตตะ แปลว่า การดื่ม ความยินดี
- ได้แก่ บุตร ธิดา บริวาร ควรหมายถึงความรัก สถานที่รื่นเริงบันเทิงใจ ความรู้สึกทางกามารมณ์ โชคลาภที่เกิดขึ้นเกินความคาดฝัน
๖. อริ แปลว่า ศัตรู - ได้แก่ ผู้คิดร้าย อุปสรรค โรคภัยไข้เจ็บ ทางภารตะหมายถึง หนี้สิน ภัยที่เกิดจากโจร ความทุกข์ระทม
๗. ปัตนิ แปลว่า สิ่งตรงข้าม - ได้แก่ คู่ครอง การสมรส และยังหมายถึงการเซ็นสัญญาการติดต่อธุรกิจ การเดินทางได้อีก และคดีความด้วย
๘. มรณะ แปลว่า การตาย - ได้แก่ การแตกทำลาย การสูญเสีย การแปรสภาพ และยังหมายถึงสิ่งตายๆ เช่น มรดก พินัยกรรม ความสุดสิ้นของโรคภัยไข้เจ็บ เครื่องหมายทางเพศ
๙. ศุภะ แปลว่า ความสวยงาม - ได้แก่ ความสงบเรียบร้อย ได้แก่การงานภายในบ้าน ที่อยู่อาศัย การดำเนินชีวิต การเดินทางไกล เช่น ต่างประเทศ ความเคารพเชื่อถือ
๑๐. กัมมะ แปลว่า การงาน - ได้แก่ อาชีพ งานอดิเรก ตำแหน่งกรรมเก่าที่ตนสร้างมาแต่อดีตชาติ
๑๑. ลาภะ แปลว่า การได้ - ได้แก่ โชค ความสำเร็จ เพื่อนหรือผู้ให้ความช่วยเหลือ อำนาจที่อยู่เหนือเจ้าชาตา
๑๒. วินาศ แปลว่า ความฉิบหาย - ได้แก่ ความวิบัติ การจองจำกักขัง ศัตรูลับ การทดยศหักหลัง ความอึดอัดใจ การสุลุ่ยสุร่าย บาปนรก
ดวงชะตาเปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่
เมื่อเราทราบแล้วว่า ดวงชะตาคือแผนที่ชีวิต สำหรับบุคคลหนึ่งๆ ว่าจะมีชีวิตเป็นไปอย่างไร จะมีบุญวาสนาหรือมีกรรมแค่ไหน จะรุ่งโรจน์ หรือคับแค้น เป็นต้น ซึ่งมีลัคนาสถิตเป็นจุดสำคัญ หมายถึงร่างกายของคนเราทั้งร่างกาย เปรียบเทียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ๆ หนึ่งต้น ประกอบไปด้วย รากแก้ว แก่น ใบ ดอกเกสร ผล เปลือก กิ่ง สิ่งที่คอยทำลาย คือ ตัวมอด หรือด้วง ฉะนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบให้ดูพอสังเขป ดังนี้
ลัคนา - หมายถึง ลำต้นรวมทั้งหมด
อาทิตย์ - หมายถึง รากแก้ว เป็นหลักของชีวิต ถ้าดีการดำเนินชีวิตก็เข้มแข็ง ก้าวหน้าแน่นหนา ไม่คลอนแคลน ถ้าเสีย ชีวิตก็ขึ้นๆ ลงๆ
จันทร์ - หมายถึง แก่น หรือดวงใจ ถ้าดีก็สดชื่น หอมหวาน เช่นแก่นจันทร์ ถ้าเสียก็เข้าตำรา ว่าข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง หรือสวยแต่รูปจูบไม่หอม
อังคาร - หมายถึง ใบ คือหมายถึงอำนาจ ได้แก่ความสามารถเข้มแข็งที่ปกคลุมให้ความร่มเย็น ถ้าดีก็มีคนยำเกรงมาก ถ้าเสียก็หมดอำนาจปราศจากความเข้มแข็งหาคนเคารพยำเกรงมิได้
พุธ - หมายถึง ดอกเกสร คือ หมายถึงคำพูด หรือสำเนียงที่เปล่งออกจากปาก ถ้าดีปากเป็นเงินเป็นทอง ถ้าเสียก็ปากเสียเงินเสียทอง
พฤหัสบดี - หมายถึง ผล คือ หมายถึงสิ่งที่สำเร็จมาจากความคิด หรือกระทำถ้าดีก็มีคนเลื่อมใสมาก มีคนถวายข้าวปลาอาหารให้รับประทานบริบูรณ์ ถ้าเสีย ก็อดอยากปากแห้ง
ศุกร์ - หมายถึง เปลือก คือ หมายถึงสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ถ้าดีก็ดูสวยสดงดงาม น่าปรารถนาน่าพอใจ ถ้าเสียก็น่าเกลียดชังหาคนรักใคร่ที่แท้จริงมิได้
เสาร์ - หมายถึง กิ่ง คือ หมายถึงสิ่งที่ยื่นออกไป คือการงามสมบัติ ถ้าดีก็มีไร่นาสาโทมากมาย ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ถ้าเสียก็เป็นคนคับแค้นเอาแต่ได้
ราหู - หมายถึง ตัวมอดตัวด้วง คือ หมายถึงสิ่งที่คอยทำลาย อยู่กับอะไรก็คอยทำลายส่วนนั้น อยู่กับรากก็กัดราก อยู่กับแก่นกัดแก่น อยู่กับใบกัดใบ เป็นต้น
หลักพยากรณ์
๑. ถ้ากล่าวกันถึงหลักการพยากรณ์ที่แม่นยำแล้ว พูดกันไม่กี่มากน้อยก็หมด แต่สมัยเดี๋ยวนี้คนเราชอบให้พยากรณ์มากๆ
๒. อิทธิพลของราหูมีอยู่ว่า ถ้าพูดมากก็ฝอยมาก ถ้าพยากรณ์มากก็ยิ่งผิดมาก
ราศีเปรียบเทียบกับส่วนต่างๆ ของร่ายกาย
ตัวท่านบูรพาจารย์ได้กำหนดราศีเปรียบเทียบกับส่วนต่างๆ ของร่างกายคนเราโดยกำหนดราศีเมาถึงราศีมีน เทียบส่วนอวัยวะจากศีรษะลงมาถึงเท้าตามลำดับดังนี้ :-
ราศี เมษ หรือราศี ๐ แสดงความตรงกับ ศีรษะ
ราศี พฤศภ หรือราศี ๑ แสดงความตรงกับ หน้าผาก
ราศี มิถุน หรือราศี ๒ แสดงความตรงกับ ทรวงอก
ราศี กรกฎ หรือราศี ๓ แสดงความตรงกับ หัวใจ
ราศี สิงห์ หรือราศี ๔ แสดงความตรงกับ ท้อง
ราศี กันย์ หรือราศี ๕ แสดงความตรงกับ สะเอว
ราศี ตุลย์ หรือราศี ๖ แสดงความตรงกับ กระเพาะและลำไส้
ราศี พิจิก หรือราศี ๗ แสดงความตรงกับ ของลับ
ราศี ธนู หรือราศี ๘ แสดงความตรงกับ
โหราศาสตร์ไทย เรียนด้วยตนเอง อ.สิงห์โต สุริยาอารักษ์ (๒)
|