ความเป็นมงคลของวัด
พูดถึงสิ่งอันเป็นมงคลและอวมงคลของวัด เมื่อคราวที่แล้ว ยังมีเรื่องที่ต้องกล่าวถึงกันอีกมาก เพราะว่าทุกวันนี้วัดมิใช่ว่าจะเป็นเพียงสมบัติของสงฆ์แต่อย่างเดียว หากแต่ว่าเป็นสมบัติของประชาชนและของบ้านเมือง ด้วยวัดเป็นที่สะสมศิลปวัตถุโบราณอันล้ำค่า เป็นศักดิ์เป็นศรีของชาติ
วัดเป็นที่กำเนิดของศิลปไทย วัดคือสถานที่อันสงบ บริบูรณ์ไปด้วยสันติสุข วัดคือสัญลักษณ์ของมงคลด้วย เป็นที่ตั้งของพระรัตนตรัย เป็นที่สืบต่อพระพุทธศาสนา
วัดคือความดีความร่มเย็น ด้วยเงาของพระธรรมปกแผ่อยู่ ถ้าเหล่าอลัชชีมิได้มายึดครองวัดอยู่
แน่นอน วัดมิใช่ป่าช้า หรือที่ตั้งเชิงตะกอนเผาศพด้วย สิ่งนั้นเป็นของอวมงคล คนโบราณท่านกีดกันเอาไปไว้ยังที่ลับตา ห่างไกลออกไปท้ายวัด วัดสิ่งที่เราเรียกว่ามงคลจึงมิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การเผาศพหรือที่เรียกขานกันเสียไพเราะว่า การฌาปนกิจ หรือที่ตั้งของเชิงตะกอน ที่เรียกกันอย่างหรูว่า จิตกาธาร
นั่นคือคำจำกัดความของคำว่าวัดในสมัยโบราณ หรืออย่างน้อย ก็คือวัดในสมัยเมื่อ 50 กว่าปีมาแล้ว
สมัยนี้ล่ะ วัดคืออะไร
ตามสภาพที่เป็นอยู่ เราอาจเขียนคำตอบได้ว่า วัดคือที่เผาศพ, วัดคือที่บรรจุศพ, วัดคือที่ตั้งสมาคมฌาปนกิจ, วัดคือสถานที่หาผลประโยชน์โดยการให้เอกชนเช่าที่วัดประกอบธุรกิจการค้า หรือปลูกบ้านอยู่อาศัย
สมัยก่อนนั้น เหล่าสัปบุรุษ สีกา เมื่อจะเข้าวัดท่านมักจะเอามือกอบทรายเข้าวัดอย่างน้อยก็ 1 กำมือ เพราะเมื่อเวลาออกจากวัดดินของวัดจะติดฝ่าเท้าออกไป ท่านกลัวบาปก็เลยเอาดินหรือทรายมาเติมวัดไว้เป็นการแก้เคล็ดเสียก่อน
เพราะอะไร เพราะว่าสมัยก่อน เมื่อจะสร้างวัด เขาตั้งใจสร้างด้วยใจเป็นกุศล อยากให้ที่ตรงนั้นเป็นเนื้อนาบุญของสาธุชนทั่วไป สร้างเสร็จก็สาปแช่งไว้เลยว่า มันผู้ใดเอาทรัพย์สิ่งของภายในวัดไปเพื่อประโยชน์ของตน โกงที่ดินวัด หรือเอาข้าพระไปใช้สอยในกิจอื่น คำสาปนั้นรุนแรงถึงแก่ตกนรกอเวจีทีเดียว วัดโพธิ์ก็สาปแช่งไว้ วัดอื่นก็เช่นกัน
ใครไม่เชื่อจะไปดูศิลาจารึกของวัดศรีโพธิ์ริมคลองสระบัว อยุธยา เขาเอาติดไว้ที่ตรงหน้าโบสถ์นั้น วัดศรีโพธิ์สร้างขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าบรมโกฐ พวกข้าพระที่กล่าวถึงก็คือบุคคลหรือครอบครัวที่เขาถวายไว้แก่วัด เพื่อรับใช้พระ และเพื่อช่วยวัดในการสร้างและบำรุงเสนาสนะ เขาก็ห้ามมิให้เอาไปใช้เพื่ออาณาประโยชน์ของตน
ภาพที่ข้าพเจ้าได้เห็นมาเมื่อ 40 กว่าปีมานี้ ตามวัดเช่นที่พระเจดีย์และบนศาลาการเปรียญ จะมีพระพุทธรูปใหญ่น้อยวางระเกะระกะไปหมด ไม่มีใครกล้าหยิบออกไปจากวัด ด้วยเขากลัวบาปกัน สมัยนี้อย่าไปหาดู ไม่มีนอกจากพระคอหักโคนต้นโพธิ์ แม้ฐานพระก็ยังถูกขโมย บนศาลาการเปรียญก็กันเอาพระใส่ตู้ล่ามโซ่ติดกุญแจกัน เรื่องอย่างนี้ก็ช่างเถิด เป็นเรื่องของคนใจบาปหยาบช้า และพวกหัวขโมยกระทำกัน
แต่พระสงฆ์สมัยนี้นะซิ ขาดความรู้ขาดคุณธรรม ได้กระทำการอันมิบังควรขึ้นแก่วัดโดยที่บางทีก็รู้และจงใจ ทั้งนี้ก็เพื่อหวังจะให้เกิดอดิเรกลาภแก่วัด แก่พระสงฆ์องค์เจ้าแต่อย่างเดียว จึงได้มีการสร้างเมรุหรือจิตกาธารขึ้นกลางวัด บางแห่งก็ตั้งอยู่หน้าอุโบสถ บางแห่งก็ตั้งอยู่หน้าวัด อวดสง่าราศีสูงใหญ่ตระหง่านจนคับวัด เพื่อจะให้พระในวัดได้มีลาภสมบูรณ์พูนสุขจากรายได้ในวัดอันเป็นมงคล ได้ดึงเอาสิ่งอวมงคลมาเกลือกกลั้วอย่างใกล้ชิดจนวัดไม่เป็นวัดเสียแล้ว ดูเผินๆ แล้วก็เกือบจะกลายเป็นสำนักงานเผาศพเสียด้วยซ้ำไป
เข้าไปในวัดแทนที่จะพบสิ่งอันน่าเพลิดเพลินเจริญใจ ก็พบแต่คนที่มาในงานศพพลุกพล่านเห็นแต่ศาลาสวดศพอันสร้างขึ้นเต็มไปทุกหนทุกแห่ง คนตายก็ทยอยกันตายมากจนถึงแต่ต้องเข้าคิวกันก็มี บางวัดจึงเผาศพกันตั้งแต่บ่ายไปจนค่ำคืน ดึกดื่น ทุกวันไม่มีว่างเว้น
สภาพอันสงบสงัดของวัดหายไป ลานวัดอันเคยมีต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น มีเสียงนกร้อง มีดอกพิกุลร่วงหล่นอยู่โคนต้น มีลานทรายให้เด็กเล็กๆ ไปก่อพระเจดีย์ทรายเล่นก็มองหาไม่เห็น ภาพพระภิกษุกวาดลานวัดในยามเช้าที่อากาศสดชื่น ภาพบรรพชิตผู้สละกิเลศ นั่งท่องปาฏิโมกข์ และหัดเทศน์ หัดทำนองมหาชาติ หายไป
ไม่ทราบว่าอะไรเป็นตัวการที่เปลี่ยนสภาพวัดให้ เป็นหวัด ไปได้ถึงเพียงนี้
เจดีย์อันระดะฟ้า บางคนเดาะเรียกว่าไม้เรียวหวดฟ้าก็หายไป เดี๋ยวนี้ใครสร้างวัดเขาไม่สร้างเจดีย์ สิ่งแรกที่เขามุ่งจะทำก็คือโบสถ์ เพราะอาจเรี่ยไรหาเงินเข้าวัดได้ ต่อมาก็สร้างเมรุกันเลย จะไปสร้างไว้หลังวัด ให้ห่างไกลจากแขก พุทธาวาส และสังฆาวาสแบบโบราณเขาก็ไม่เอากัน บางแห่งเขาสร้างเมรุยอดทะลุฟ้ากันกลางวัด อยู่ติดถนน และอยู่หน้าอุโบสถ เขตพุทธาวาสนั้นเอง ด้วยเป็นการสะดวกแก่คฤหัสถ์มาเผาศพและนำเงินเข้าวัดกัน
เอาเมรุอันเป็นสิ่งอัปมงคลมาไว้หน้าวัดกลางวัดอย่างนั้น ใครที่ไม่ถือสาก็แล้วไป แต่อาถรรพณ์ เคล็ด ราง มันไม่เข้าใครออกใคร เมื่ออัปมงคลมันเป็นแกนกลางของวัดเสียแล้ว การเป็นมงคลก็กลายเป็นบริวารไป ความเสื่อมความเป็นกาลกิณีมันก็ครอบงำอยู่ สง่าราศีที่ไหนจะมีเหลือ แล้วความดี ความเป็นศิริที่เรียกกันว่าศรี จะอยู่ได้อย่างไร
คนที่ไม่เชื่อถือเรื่องศรี เรื่องกาลกิณีสมัยนี้มีมาก ทั้งนี้ก็เป็นด้วยวิสัยของผู้ที่ห่างเหินพระคัมภีร์ พระธรรมบท และเป็นบุคคลประเภทดูถูก ด่าว่าโบราณว่ารุ่มร่ามล้าสมัย เขาก็ไม่ถือสา ไม่รู้เหตุดีและชั่ว การสิ่งใดเป็นมงคล สิ่งใดเป็นอวมงคลก็ไม่รู้ ด้วยสัมผัสไม่ได้ เพราะพิสูจน์ไม่ได้
ก็เพราะอย่างนี้บ้านเมืองจึงวิบัติ และบรรพชิตก็ประพฤติค่อนข้างหนักไปทางอลัชชี ดูก็สมกับที่คัมภีร์เก่าแก่ของโบราณกล่าวไว้ว่าศาสนาจะเรียวลง ยิ่งนานไปพระสงฆ์จะเหลือสัญลักษณ์เพียงแค่เอาผ้าเหลืองมาทัดหูเท่านั้น ของอย่างนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ พระเถรานุเถระใหญ่น้อยที่รอบรู้พระคัมภีร์ก็มีมาก ไฉนจึงไม่คัดค้านต้านทานกัน มีแต่จะหลงไหลได้ปลื้มไปกับอดิเรกลาภกันเสียหมด เพราะสมัยนี้การถวายเงินพระที่เชิญไปเพื่อกิจของคฤหัสถ์นั้น เขาดูยศตำแหน่งพระด้วย ถ้าเป็นพระราชาคณะสูงๆ ก็ต้องถวายกันเป็นพันเป็นหมื่นจึงจะสมกับพระเกียรติยศ น้อยกว่านั้นไม่ได้ ผิดธรรมเนียมดีไม่ดีก็ไม่ไปด้วยซ้ำไป หาว่าเป็นการดูถูก เงินถวายสงฆ์ก็เลยกลายเป็นค่าจ้าง เรื่องอย่างนี้มันเกี่ยวพันไปถึงการบวช การถวายเงินอุปัชฌายะ และคู่สวด ซึ่งก็มีสูงต่ำแบบเดียวกันเห็นแล้วไม่ผิดกับการจ้าอุปัชฌายะ
เห็นวัดสมัยนี้แล้วสะท้อนใจ
แล้ววัดที่แท้ ที่บริสุทธิ์ของเรา อยู่ที่ไหน จะหาได้ที่ไหน
เมื่อกลางเดือน ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะทำบุญตักบาตรแต่เช้า จึงออกเดินจากบ้านที่ถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ไปยังตลาดนางเลิ้ง ในตลาดมีผู้จัดอาหารชุดสำหรับใส่บาตรพระไว้ขายสะดวกดี ข้าพเจ้าซื้อไก่ทอดกับข้าวเหนียว 5 ชุด ออกมานอกตลาด คอยพระที่ริมบาทวิถี เมื่อพระสัญจรผ่านมาก็ใส่บาตรจนครบของที่มีอยู่ เสร็จยังคงยืนเก้ๆ กังๆ อยู่นาน ด้วยเป็นเวลาเช้ามาก ตั้งใจว่าจะเดินเล่นสักหน่อย เลยข้ามถนนเข้าตรอกวัดโสมนัสฯ เดินเรื่อยเปื่อยผ่านอุโบสถ ผ่านกุฏิสงฆ์ ซึ่งข้างๆ ทางเต็มไปด้วยที่บรรจุศพ แทบจะไม่มีที่ว่าง แล้ววกอ้อมผ่านเมรุ ผ่านกุฏิสงฆ์ ก็ยังพบที่บรรจุศพอีกมากมาย กว่าจะทะลุออกหลังวัด เพื่อตัดออกถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ ก็ต้องผ่านศพนับจำนวนไม่ถ้วน หลุดวัดออกมาได้ก็เลยคิดเรื่อยเปื่อยไปว่า
วัดสมัยนี้ ไฉนจึงเต็มไปด้วยที่เก็บศพ ทำกันอย่างอัดแอเบียดอยู่กับกุฏิสงฆ์ ไม่มีช่องว่างให้แสวงหาความเพลิดเพลินเจริญใจได้ จะเรียกว่าป่าช้ารุกเข้าไปจนเต็มวัดก็ได้
คำว่า ป่าช้า แปลว่า ป่าอันเต็มไปด้วยปฏิกูล ไม่สวยงาม ช้า คือคำพ้องกับชั่ว เราจึงเรียกว่าชั่วช้า ซึ่งแปลว่าเลว ทางเหนือเขาจึงเรียกว่าป่าเฮ่ว คือป่าเลว ก็ทำเนียมโบราณนั้น ท่านจำแนกสรรพสิ่งต่างๆ ออกเป็น 2 อย่าง ภาษาโหรเรียกว่า ศุภะ กับ วินาศนะ หรือ ศรี กับ กาลกิณี มีความหมายว่า ดี กับ ไม่ดี ตรงกับคำว่า มงคล กับ อวมงคล หรือ อัปมงคล
การใดเป็นมงคล หรือ อวมงคล ท่านแยกกันไว้เป็นส่วนสัด มิได้เอามาเคล้าระคนกัน เสมือนคุณและโทษนั้นย่อมแยกจากกัน เมืองสมัยโบราณนับแต่พระนครหลวงของขอม กรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ เขามีธรรมเนียมมิให้เผาศพในเขตกำแพงเมือง ถ้าคิดในแง่ปัจจุบันก็เพื่อมิให้อุจาด แต่ในแง่ความเชื่อของโบราณ เขาก็ถือว่างานศพ งานเผาศพ เป็นงานอวมงคล ไม่นิยมให้เผาในกำแพงเมืองนอกจากเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน จึงจะอนุญาตให้การเผาศพของกษัตริย์ก็มีวิธีล้างอาถรรพณ์ไว้เสร็จ กล่าวถือเมื่อเผาในที่ใด ก็จะต้องสร้างวัดคร่อมข้างสถานที่นั้นเป็นการปัดเสนียดความเป็นอวมงคลของบ้านเมือง
เช่น ในสถานที่เผาศพพระเจ้าอู่ทองท่านก็สร้างวัดพระรามลงในสถานที่นั้น
ในที่ปลงศพพระนครินทราธิราชและเจ้าอ้ายกับเจ้ายี่นั้น ท่านก็สร้างและปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ คือขยายวัดเดิมออกไปคร่อมที่เผาศพเสีย
มาภายหลัง การเผาศพกษัตริย์ในเมืองน่าจะเป็นการลำบาก คือต้องสร้างวัดปัดเสนียดกัน จึงน่าจะกำหนดสถานที่ตั้งเมรุไว้เป็นการถาวร อยู่ที่ลานใหญ่หน้าวัด หน้าพระเมรุ ไปจนจรดริมน้ำ เป็นที่สำหรับเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน ทำงานพระเมรุกัน จึงเรียกวัดตรงนั้นว่า วัดหน้าพระเมรุ และตำแหน่งที่ตั้งพระเมรุก็อยู่นอกกำแพงเมืองทางทิศเหนือ ตรงข้ามพระบรมมหาราชวังนอกขอบเขตอาถรรพณ์ไม่จำเป็นจะต้องสร้างวัดคร่อมข้างแต่อย่างไร ด้วยกำหนดสถานที่ไว้เป็นการถาวรแล้ว
ทุ่งพระเมรุ หรือท้องสนามหลวงของเมืองบางกอก ได้ถูกกำหนดที่ไว้เป็นการถาวรแต่เพียงว่าอยู่ในเขตกำแพงเมือง ส่วนที่ตั้งพระเมรุของอยุธยา เขาอยู่นอกกำแพงเมือง แล้วท้องสนามหลวงของเราเมื่อเสร็จการพระเมรุแล้ว ก็มิได้มีการสร้างวัดคร่อมทับเป็นการปัดเสนียดแต่ประการใด แถมยังใช้สถานที่อันเป็นอัปมงคลนั้น เป็นที่ทำพิธีมงคลแรกข้าวนาขวัญอันเป็นพิธีมงคลสูงสุดของบ้านเมืองเสียด้วย เรียกว่ามิได้คำนึงถึงสถานที่ เอาสิ่งมงคลกับอวมงคลมาซ้ำซ้อนกัน จึงทำให้บ้านเมืองวิปริตเกิดอาเพทต่างๆ นานาจนทุกวันนี้
แม้ว่าปัจจุบัน กำแพงเมืองอาจจะรื้อบางส่วนออกไป ยังคงเหลือเฉพาะกำแพงหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร และป้อมพระอาทิตย์ ปากคลองบางลำพู กับป้อมมหากาฬที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศเพียง 3 จุดนี้เท่านั้น การรื้อถอนก็เพื่อขยายบ้านเมืองให้กว้างออกไปในสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเป็นการรื้อออกเพียงวัตถุ แต่การกำหนดเขตเมืองและอาถรรพณ์ยังคงเหมือนเดิม อีกประการหนึ่งอิฐที่ขนออกไปเป็นส่วนของกำแพงเมืองเหนือดิน รากฐานของกำแพงภายใต้ดินยังปรากฎอยู่ จึงไม่แน่ว่าอาถรรพณ์จะหมดสิ้นไป
แต่ในวงการพระสงฆ์องค์เจ้าท่านไม่ยังงั้น นอกจากท่านจะไม่ยึดถือขนบประเพณีโบราณ กล่าวคือ วัดของท่านแต่เดิมมา ไม่มีป่าช้า, ไม่มีเมรุเผาศพ, ด้วยเป็นวัดอยู่ในกำแพงเมือง ท่านน่าจะรักษาขนบประเพณีอันนี้ไว้ แต่เพราะว่าการฌาปนกิจเป็นอดิเรกลาภของสงฆ์ จึงทำให้พระสงฆ์องค์เจ้าวิปริต คิดสร้างพระเมรุ ทำที่บรรจุศพ (สมัยก่อนเรียกโกดังเก็บศพ) แล้วก็ทำพิธีเผาศพตามวัดในกำแพงเมืองกันเป็นโกลาหล, สถานที่ใดไม่เคยมีก็ทำให้มีขึ้น, ตามอย่างกันลุกลามไปใหญ่โต จนแม้ชั้นวัดพระเชตุพน อันเป็นวัดติดกับพระบรมมหาราชวัง และเป็นวัดคู่บารมีของเมืองบางกอกก็ยังเอาศพมาตั้งสวดกันในพระวิหารทิศรอบพระอุโบสถ บางทีก็ลามปามเข้าไปถึงพระระเบียง เป็นการวิปริตอาเพทผิดกันไปใหญ่โต ต่อไปก็อาจจะสร้างเมรุเผาศพกันบ้างละ ดีแต่ว่ายังนึกละอายกันอยู่ เพราะถ้าขนาดวัดใหญ่อย่างวัดพระเชตุพน, วัดสุทัศน์กับวัดบวรนิเวศน์ซึ่งเป็นวัดหลัก ทำผิดขนบประเพณีเสียแล้วก็จะเป็นเยี่ยงอย่างให้วัดอื่นเอาอย่างบ้าง
ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่า การใดเป็นประเพณี ก็น่าจะรักษาไว้ มิใช่ทำกันไปโดยอำเภอใจ หาได้คิดถึงจารึตใดๆ ไม่
สำหรับเรื่องของมงคลกับอวมงคล ดังที่ได้กล่าวไว้แต่ต้นนั้น สำหรับการที่เกี่ยวกับวัด แต่ครั้งโบราณนั้นท่านแยกกันเด็ดขาด วัดก็อยู่ส่วนวัด ป่าช้าและการเผาศพก็อยู่ต่างหาก ที่ทางเหนือเขาจะไปเลือกสถานที่แห่งหนึ่งนอกกำแพงเมือง เป็นเนินดินมีป่าไม้อันร่มครึ้มใช้ฝังศพและเผาศพ เรียกกันว่า ป่าเฮ่ว หรือป่าเหว คือป่าช้านั่นแหละ ส่วนทางใต้ก็มีประเพณีไปเลือกสถานที่อันเป็นเนินดิน เงียบสงัด มีป่าไม้ครึ้ม นอกหมู่บ้าน เป็นป่าช้าเรียกว่า เปรว ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ เมื่อจะประกอบพิธีศพทางพระพุทธศาสนา ก็จะนิมนต์พระออกจากวัดไปทำพิธี ณ สถานที่ที่เรียกว่าเปรวนั้น บางแห่งก็แยกที่เผาศพกับที่ฝังศพกับกระดูกออกจากกัน
ว่าไปทำไมมี ภาคกลางก็เช่นเดียวกัน สมัยก่อนนั้น ท่านแยกวัดกับป่าช้าต่างหาก แต่เพื่อความสะดวกในการนิมนต์พระ จึงกำหนดให้อยู่ไม่ไกลจากวัดนัก ส่วนใหญ่มักจะอยู่หลังวัด
เชิงตะกอน หรือเมรุ เขาทำแบบโถง คือตั้งเสา 4 เสา มีหลังคา ยอดสูง มีเชิงตะกอน เมื่อเผาศพกลิ่นจะตลบฟุ้งไปหมด ถ้าอยู่ติดกับวัด พระสงฆ์องค์เจ้าย่อมเดือดร้อน ด้วยกลิ่นอันไม่เป็นสัปปายะ เหตุนี้จำเป็นอยู่เองที่จะต้องกีดกันป่าช้าและเชิงตะกอนเอาไว้หลังวัด ให้ไกล
นั่นก็เป็นการแยกกันอย่างเป็นส่วนสัดแล้ว ระหว่างสิ่งอันเป็นมงคล และอวมงคล
ขอให้สังเกตว่า สิ่งอันเป็นอวมงคล คืองานศพ หรือป่าช้า อันเป็นของคนตายล้วนแต่เป็นปฏิกูล ชวนพาเหียร และสลดหดหู่ท่านเอาไปหลบไว้หลังวัด อยู่ในที่มิดชิด ไม่ประเจิดประเจ้อ เป็นลักษณะหลบซ่อน สมกับที่ว่าของใดไม่ดี ไม่งาม ก็ไม่นำมาอวด มาเปิดเผย เพราะจะไม่เป็นสัปปายะแก่ผู้ใด
มิใช่เอาที่เก็บศพ ที่บรรจุกระดูก เมรุเผาศพ มาตั้งให้เกลื่อนวัด คือเอาของอวมงคลมาระคนคลุกเคล้ากับสิ่งอันเป็นมงคล คือ วัดดังเช่นทุกวันนี้
การเวียนขวาหรือประทักษิณ ซึ่งแปลว่า "เวียนไปทางขวา" นี้ เป็นคติโบราณของไทยที่เคยนิยมกันมา จนดูเหมือนว่าจะเป็นจริยาวัตรอันเป็นขนบประเพณีส่วนหนึ่งของคนไทย เป็นจารีตอันไม่ควรละเว้น จารีตชนิดนี้มีหลายแบบแผนมาจากพราหมณ์เป็นปฐม เช่นการเวียนเทียนสมโภช, เวียนเทียนบายศรีในวันอภิเษกสมรส เวียนเทียนทำขวัญนาค และการเวียนเทียนในพิธีต่างๆ อีกหลายอย่าง การเวียนนั้นจะต้องเวียนไปทางขวามือจนรอบบายศรี ถือกันว่าวนไปทางขวาคือการแสดงความเคารพ
คำว่า "ทักษิณ" แปลว่า "ทิศใต้" ทิศอันพึงควรเคารพ ดังคำ "ทักษิณาจารี" แปลว่าผู้บูชาด้วยการยกมือขวา หรือคำว่า "ทักษิณาจาร" แปลว่าผู้ประพฤติถูก, "ทักษิโณทก" แปลว่าการหลั่งน้ำด้วยมือขวา เป็นองค์พยานในการประกาศต่อเทวดาฟ้าดิน
โบราณนั้นถือเรื่องมือขวาและการเวียนขวามาก การแห่เจ้านาคจะเข้าอุโบสถ จะต้องเวียนขวารอบอุโบสถ 3 รอบเสียก่อน ถือว่าเป็นการทำความเคารพพระอุโบสถ สถานที่อันเป็นมงคลในการจะประกอบพิธีอุปสมบท การเวียนขวาจึงใช้ในการมงคล ส่วนเวียนซ้ายนั้นเป็นเรื่องอัปมงคล เพราะซ้ายเป็นมือที่ใช้ล้างก้น มือขวาใช้เปิบข้าวเข้าปาก เวลาล้างหน้าท่านห้ามมิให้ใช้มือซ้ายล้างหน้าเด็ดขาด จะต้องใช้มือขวาเสมอไป
การเวียนในสิ่งอัปมงคล เช่นการนำศพเวียนรอบจิตรกาธารจะต้องเวียนซ้าย ด้วยเป็นการเวียนในสิ่งอัปมงคล
การเวียนขวาหรือประทักษิณ จึงเป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่งของคนไทย และดูเหมือนจะเป็นการเคารพที่มีอานิสงส์ยิ่งไปกว่าการยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมอีกด้วย เพราะการเวียนขวาต้องประกอบด้วยอิริยาบถที่สำรวม แม้เวียนอย่างเดียวโดยอาการสำรวมก็เป็นการเคารพโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ผู้ที่เคร่งจะต้องยกมือขึ้นพนมระหว่างหน้าอก ในมือพนมมีดอกไม้ ธูป เทียน พร้อม ซึ่งถือว่าเป็นการเคารพโดยสมบูรณ์ตามระบบของผู้ที่ทำอะไรก็มักจะเคร่งให้เกินไปนั้น การเข้าวัดจะไปไหว้เจดีย์ ไหว้พระเมื่อเข้าวัด ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนจะต้องรำลึกถึงจารีตอันนี้ เพราะปัจจุบันเยาวชนไทยต่างก็เลอะเลือนไม่ได้รับการสั่งสอน จะเข้าวัดเข้าวาก็เดินพล่านไปทุกหนทุกแห่ง หาคิดไม่ว่าถ้าเวียนผิดแทนที่จะเกิดคุณกลับนำผลร้ายมาสู่ตัว เมื่อเข้าวัดหรือจะขึ้นชมพระสถูปเจดีย์ เช่นพระปฐมเจดีย์ ทุกคนจะต้องน้อมรำลึกถึงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณแล้วเดินประทักษิณ "เวียนขวา" ให้องค์มหาเจดีย์อยู่ฝ่ายขวามือของเราตลอดเวลา จนครบรอบเท่ากับว่าได้ทำการเคารพโดยสมบูรณ์แล้ว ถ้าจะให้ได้อานิสงส์อย่างสมบูรณ์ก็จะต้องเวียนถึงสามรอบ แต่ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลา จึงถือเป็นการย่นย่อว่าเวียนขวาเพียงรอบเดียวเท่านั้นก็พอ เพราะยังดีกว่าไม่ได้เวียนขวาเสียเลย
แต่ชนส่วนใหญ่สมัยนี้ไม่ว่าเด็ก, ผู้ใหญ่หรือคนแก่ชะแรเฒ่าชราไม่รู้ในธรรมเนียมเก่าบางคนพอขึ้นบันไดก็วนไปทางซ้าย ถือเอาความสะดวกเป็นเกณฑ์ แบบนี้หากวนครบหนึ่งรอบก็เท่ากับเป็นการเหยียดหยามดูถูกดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่นั้น ส่วนใหญ่มักจะถูกรุกขเทวดาและภูมิเทวาลงโทษ คือเมื่อไปพ้นสถานที่นั้นมักจะเกิดความเดือดร้อนต่างๆ นานา บางคนก็ทะเลาะกัน บางคนก็ของหายลืมทิ้งไว้ที่องค์เจดีย์ บ้างก็รถชนถึงแก่ความตาย ด้วยเป็นภัยพิบัติอันร้ายแรงมาก ข้าพเจ้ามักจะเตือนผู้คุ้นเคยกันเสมอว่าเมื่อเข้าวัดไม่ว่าจะเดินวนรอบโบสถ์, วิหาร, เจดีย์ ควรต้องเวียนขวาเสมอ อย่าเวียนซ้ายจะกลายเป็นมิจฉาทิษฐิ
เรื่องแบบนี้เคยมีตัวอย่างมาแล้ว ผู้คุ้นเคยกันท่านหนึ่งเป็นผู้สูงอายุ นายแพทย์แนะนำให้เดินทุกเช้าเป็นการออกกำลัง เขาเดินจากถนนวิสุทธิ์กษัตริย์วนรอบวัดมกุฏกษัตริย์ไปทางขวาเลียบริมคลองผดุงกรุงเกษม วนเข้าถนนราชดำเนินแล้วกลับไปที่เดิม เป็นเช่นนี้เสมอมาก็ไม่มีเรื่องอะไร เพราะเป็นการเวียนขวารอบวัด ล่วงมาวันหนึ่งเขามีธุระจะต้องไปทางนางเลิ้งจึงเดินจากถนนวิสุทธิกษัตริย์ไปถึงนางเลิ้ง เป็นการเวียนซ้ายรอบวัดโสมนัสฯ ผลก็คือวันนั้นกลับมาบ้านเกิดโกลาหลเป็นกุลียุคภายในบ้าน เขาคิดว่าอาจเป็นเหตุบังเอิญ วันหลังก็ลองเอาใหม่อีกที ก็เกิดเรื่องใหญ่ทุกครั้งที่มาถึงบ้าน ครั้งที่สามก็เช่นคราวนี้ข้าวของเสียหายวินาศสันตะโร
จึงทำให้คิดได้ว่าการเวียนซ้ายไม่ว่ากับวัดหรือสถานที่ใดๆ มักเกิดโทษ ข้อนี้น่าเป็นสิ่งควรคิดแก่บุคคลทั่วไปว่า วันๆ หนึ่งที่ท่านโคจรไปที่ใด ควรกำหนดจดจำไว้ว่าท่านเวียนซ้ายหรือเวียนขวา ในเส้นทางนั้นๆ หากเวียนซ้ายผลอันติดตามมาจะเกิดความขลุกขลัก และเดือดร้อนนานาประการ หรือว่าถ้าจำเป็นจะต้องเวียนซ้าย ด้วยเส้นทางสัญจรประจำวันของท่านเป็นเช่นนั้น ก็ควรแก้ไขโดยดัดแปลงเส้นทางเสียใหม่ หรือหาทางเดินย้อนเมื่อจะเลี้ยวขวาเข้าตัวอาคารอันทำงานประจำ ซึ่งมีกรรมวิธีหลายประการ
การสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ทุกปีมักจะตั้งพลับพลาของพระเจ้าแผ่นดินทางด้านสวนอัมพรใกล้กับพระบรมรูปทรงม้า แล้วให้ทหารรักษาพระองค์ เดินแถวสวนสนามทำความเคารพในหลวง โดยให้ในหลวงอยู่ทางขวามือซึ่งเป็นการถูกแล้ว เพราะการเดินผ่านผู้ควรเคารพทางขวามือของผู้ทำความเคารพ เป็นการแสดงความเคารพอันถูกต้อง แต่มาผิดเอาตรงที่ทหารรักษาพระองค์ นับแต่ ร.พัน 1 เมื่อผ่านกษัตริย์มาแล้วก็เลี้ยวซ้ายอ้อมพระบรมรูปทรงม้าแล้ววกกลับเวียนไปที่เดิม ก็เท่ากับกองทหารเหล่านั้นทำการเวียนซ้าย เดินอุตราวัฏต่ออนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 นั่นเอง ผลก็คือทหารเหล่านี้มักเป็นตัวการซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการทำรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลเสมอมา นั่นเป็นการวนซ้ายรอบอนุสาวรีย์ที่เป็นประธานในอาณาบริเวณแถบนั้นจึงเกิดโทษ วิธีที่ถูกไม่ควรวนรอบพระบรมรูป แต่ให้วนแค่กลับหลังแล้วสวนทางเดิมอย่าอ้อมพระบรมรูปเพราะที่ก็กว้างพอจะสวนกันได้ แบบนี้จึงจะเป็นการกระทำที่ถูก
คติของจีนถือว่าทิศใต้เป็นทิศที่ยิ่งใหญ่ควรเคารพ แบบเดียวกับไทยที่ถือว่าทิศใต้คือทิศทักษิณ เวลานอนจึงหันหัวไปสู่ทิศใต้ ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 เรียกทิศใต้ว่าทิศหัวนอน เรียกทิศเหนือว่าทิศปลายตีน
ตำราฮวงจุ๊ยของจีน ได้กำหนดไว้ตายตัวว่าบ้านเมืองหรือฮวงจุ๊ย (คนไทยเรียกผิดๆ ว่าฮวงซุ๊ย) จะต้องหันหน้าสู่ทิศใต้จึงจะถูกโฉลกที่ดีเยี่ยม จัดว่าเป็นชั้นหนึ่ง ด้านหลังควรเป็นภูเขาด้านซ้ายสมมุติว่าเป็นธาตุน้ำ เรียกว่ามังกรเขียว (แชเล้ง) ด้านขวามือคือเสือขาว (แปะโฮ่ว) หลังฮวงจุ๊ยเรียกนักรบสีเทา สิ่งเหล่านี้คือชัยภูมิที่ยิงใหญ่ของฮวงจุ๊ย
เพราะจีนโบราณถือว่าทิศใต้เป็นทิศมงคลสูงสุด จึงน่าเชื่อว่าคนจีนโบราณคงจะนอนหันหัวไปสู่ทิศใต้เช่นเดียวกับชาวสุโขทัยโบราณ ผิดกับสมัยนี้ชอบนอนหันหัวไปทิศเหนือ เนื่องด้วยความโง่เขลามิได้ล่วงรู้ถึงคุณและโทษในทิศทาง ถ้ารู้ก็คงตกใจ เพราะทิศเหนือเป็นทิศของคนตาย กล่าวคือเมื่อคนตายจึงจะหันหัวไปสู่ทิศเหนือ ดังปรากฏหลักฐานโครงกระดูกโบราณรุ่นทวารวดีที่โคกพลับ ราชบุรี หลุมลึกลงไปจากพื้นดิน 3 เมตรกว่า โครงกระดูกเหล่านั้นล้วนแต่หันหัวไปสู่ทิศเหนือทั้งสิ้น เช่นเดียวกับโครงกระดูที่พบเมืองกาญจนบุรี และที่อียิปต์ตรงกันที่หันหัวไปสู่ทิศเหนือ
ชนสมัยทวารวดีเมื่อพุทธศตวรรษที่ 10 และ 11 ก็มีคตินิยมเชื่อว่าทิศเหนือเป็นอัปมงคล ทิศใต้เป็นมงคล จึงมีคติการฝังศพแบบเดียวกับคติที่สุโขทัย
มีผู้ถามข้าพเจ้าว่านอกจากทิศใต้ซึ่งเป็นมงคลเหมาะสำหรับหัวนอนไปทางทิศนั้นแล้วยังมีทิศอะไรอีก ก็ตอบได้ว่าเห็นจะมีทิศตะวันออกอีกทิศเดียว เพราะเป็นทิศมงคล แต่ชาวพุทธฝ่ายโบราณที่นับถือคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสูตร เขาไม่นิยมนอนหันปลายเท้าไปทางทิศตะวันตก ด้วยเหตุว่าตรงทิศนั้นเป็นทิศที่ตั้งสวรรค์ของฝ่ายมหายาน ซึ่งปกครองโดยพระพุทธเจ้าอมิตาพุทธบนสวรรค์ชั้นสุขาวดี มีแต่จะยกมือกราบไหว้ไปถึง อีกประการหนึ่งก็เป็นการนอนแทงตะวันไม่ดี
การนอนที่ถูกต้องควรนอนหัวศีรษะไปสู่ทิศใต้เพียงทิศเดียวเท่านั้น และสมกับท่าการนอนสีหไสยาของพระพุทธเจ้า คือพระองค์จะนอนหันเศียร มุ่งไปทางทิศใต้อันเป็นทิศตัวนอนหันพระพักตร์สู่ตะวันออก ท่านี้เองเป็นท่านอนประจำของพระพุทธเจ้า
การที่คติ "ฮวงจุ๊ย" ของจีนถือว่าทิศใต้เป็นทิศมงคลต้องหันหน้าบ้าน หรือฮวงจุ๊ยไปสู่ทิศใต้ก็เพราะว่า เส้นศูนย์สูตรฟ้าย่อมขนานและเกือบพาดทับเส้นศูนย์สูตรโลกตรงภาคใต้ใกล้ปลายแหลมมลายู ตรงนั้นเป็นทางเดินของดวงทินกรกับดาวพระเคราะห์ใหญ่น้อยที่ท่องเที่ยวไปบนหนทางนี้ จีนหรือไทยหรืออินเดียตั้งอยู่เหนือเส้นทางโคจรของดวงอาทิตย์กับดาวพระเคราะห์ จึงเห็นดาวพระเคราะห์ทั้งมวลอยู่ทางทิศใต้ และดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ก็ค่อนไปทางทิศใต้เล็กน้อย การที่คนโบราณไม่หันปลายเท้าไปทิศใต้ก็เนื่องด้วยมีความเคารพในอาทิตย์ จันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งมวล เหตุนี้ทิศใต้จึงเป็นทิศอันเหมาะแก่การหันหัวนอนไปอย่างเดียวในเวลานอน
พระราชวังที่ปักกิ่งหันไปทิศใต้กับประตูที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธี จะหันสู่ทิศใต้ก็ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ และทิศใต้นี้เป็นที่แสงอาทิตย์จะส่องอยู่ชั่วทุกฤดูกาล ความอบอุ่นความมีชีวิตชีวาจะมาจากทิศนี้ เป็นประจำเสมอ
ทิศใต้หรือทักษิณ เจดีย์โบราณจะมีฐานให้ขึ้นไปเดินเวียนขวาทำการประทักษิณโดยรอบ ประทักษิณคือการทำความเคารพ มาจากการที่เราหันหน้าสู่ดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออก เมื่อเรามุ่งเดินไปสู่ทิศตะวันออกเรื่อยๆ เบื้องขวามือของเราก็คือทิศทักษิณ ส่วนทางซ้ายมือก็จะเป็นทิศเหนือ ทักษิณจึงแปลว่าขวาด้วย
เป็นข้อน่าประหลาดที่ว่าธรรมชาติจะมีระบบที่แน่นอนว่าสิ่งใดที่อยู่ในวิสัยของธรรมชาติจะต้องเวียนขวาเสมอ ให้สังเกตจากไม้เลื้อย เช่น ตำลึงหรือไม้เถาต่างๆ ถ้ามันพันรอบเสามันจะพันไปทางขวา คือวนรอบแกนเสาไปทางขวาเสมอ หรือหอยที่มีการวนก็จะวนขวาเช่นกัน เรียกว่าสังขทักษิณาวรรค สังขอุตราวัฏไม่มีในธรรมชาติ นอกจากสังขของกัปตันเนโมในหนังสืออ่านเล่นของจูนส์เวิน เรื่องใต้ทะเล 2 หมื่นโยชน์ หรือสังข์ที่ทำจากโลหะสำหรับเข้าพิธีพราหมณ์ที่เรียกว่าสังขอุตราวัฏ มีเรื่องบันทึกเกี่ยวกับพระเจ้าหลานเธอสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งเอาสังขอุตราวัฏมาถวายจนมีความดีความชอบนั้น อาจเป็นสังข์ที่ทำขึ้นสำหรับพระราชพิธีพราหมณ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาแท้ๆ หรืออาจจะเป็นสังข์เวียนซ้ายผิดธรรมชาติ คงจะมีบ้างละกระมัง เหมือนกับคนยังมีถนัดซ้ายอยู่บ้าง แต่สันนิษฐานแบบนี้ก็จะไปขัดกับตำราทางธรรมชาติวิทยา เพราะเขาบอกว่าไม่มีแน่นอน
เรื่องทักษิณาวรรตนี้ดูออกจะขลังมาก และเป็นอาการเกี่ยวกับกิจที่เป็นมงคล สมัยก่อนนั้นถ้าจะมัดท่านให้วนขวา หากจะคลายก็ให้วนซ้าย ถือว่าเป็นเคล็ดสำคัญมาก ขวาเทียบกับจีนก็คือหยาง ซ้ายคือหยิน
ข้างหน้าของฮวงจุ๊ย ท่านกำหนดให้เป็นที่ราบมองเห็นสายน้ำซึ่งเป็นธาตุน้ำคือหยินและฮวงจุ๊ยตั้งอิงลาดเขา เบื้องหลังเป็นภูเขาที่ป้องกันวิญญาณร้ายคือหยาง
จึงเป็นที่เข้าใจว่าขวาคือหยาง ซ้ายคือหยิน
ผู้ใดดาวอาทิตย์เด่นเป็นเกษตรหรือมหาอุจในดวงชะตาท่านว่าธาตุไฟเด่นเป็น หยาง อาชีพบกให้คุณ
ส่วนผู้ใดดาวอาทิตย์เสียคือเป็นประเป็นนิจในดวงชะตาท่านว่าธาตุไฟเสีย เมื่อไฟในดวงด้อย ธาตุน้ำอันเป็นของคู่กันก็ผุดเด่นขึ้นมา ท่านว่าบุคคลชนิดนี้ อย่าไปคุดคู้อยู่บนบกเลยไม่มีวันเจริญ หากมีอาชีพทางธาตุน้ำเจริญนักแล
เรื่องการเวียนขวาได้เขียนไปคราวที่แล้ว กะว่าควรยุติเพียงแค่นั้นแต่มานึกดูว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้คนสมัยใหม่ไม่คอ่ยมีใครใส่ใจ อะไรเป็นการมงคล ไม่เป็นการมงคล ไม่มีใครรู้กันทั้งนั้น ต่างก็ประพฤติกันเปะปะ ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดในสมัยโบราณ ดังปรากฏในนิทานอาหรับราตรี ซึ่งเป็นวรรณกรรมบันลือโลกของอาหรับ กล่าวถึงการรับสิ่งของ ถ้ารับด้วยมือซ้ายเป็นการผิดอย่างมาก ถูกตำหนิอย่างรุนแรง มีอยู่คนหนึ่งไปหยิบของด้วยมือซ้าย อันเป็นของสำคัญ โทษถึงแก่ตัดมือก็มี สมัยก่อนจึงน่าจะเป็นเรื่องสำคัญมิใช่น้อย การถือมือซ้ายมือขวาจึงเป็นเคล็ดสำคัญที่ทั่วโลกปฏิบัติกันอยู่
สมัยนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นการปฏิบัติกันผิดๆ เช่น คราวหนึ่งในพิธีของลูกเสือขาวบ้านมีการรำวงรอบกองไฟ แต่ผู้จัดไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ ผลคู่แรกรำนำขบวนก็เวียนซ้ายรอบกองไฟ ตกลงรำกันอยู่เป็นเวลานาน ต่างหันมือซ้ายเข้าสู่กองไฟทั้งนั้นเท่ากับเป็นการไม่แสดงความเคารพและคารวะต่อกองไฟ ผลที่ได้รับปรากฏว่ากองลูกเสือชาวบ้านกองใหม่นั้นต้องไปงานศพสมาชิกของรุ่นบ่อยที่สุด นั่นเพราะว่าประเดิมการฉลองรุ่นครั้งสุดท้ายด้วยการเวียนซ้ายรอบกองไฟ จึงกลายเป็นการอัปมงคลไป ผลที่ติดตามมาจึงกลายเป็นทุกข์ไป
เรื่องกองไฟนี้เราไม่ควรดูถูก ด้วยสมัยโบราณเขานับถือกันมาก พวกแขกปาร์ซี, พวกเปอร์เซียโบราณนั้นนับถือไฟ ชนชาติรุ่นเก่าแก่แทบทุกแห่งต่างก็นับถือไฟด้วยกันทั้งนั้น จนประเพณีตกทอดมาถึงชาวจีนซึ่งเขามีการบูชาเจ้าแม่เตาไฟ คนไทยรุ่นเก่าก็นับถือเจ้าแม่เตาไฟบริเวณเตาไฟจึงปฏิบัติดูแลมิให้สกปรกอยู่เป็นนิจศีล ตำราฮวงจุ๊ยของจีนเขามีการหาทิศทางของการตั้งเตาไฟภายในบ้านด้วย ถ้าวางเตาไฟถูกทิศจะทำให้บ้านเจริญรุ่งเรือง ลาภผลจะเข้าบ้านอย่างมาก ดังนี้การรำรอบกองไฟจึงควรระวังอย่าไปวนซ้ายเพราะจะเกิดโทษดังกล่าวแล้ว
ตามวัดวาอารามนอกจากจะมีฐานเจดีย์ มีทางเดินที่ฐานโดยรอบเรียกว่า "ฐานประทักษิณ" สำหรับขึ้นไปเดินทักษิณาวรรตทำความเคารพโดยรอบ การเขียนภาพในอุโบสถและพระระเบียง ผู้เขียนจำเป็นจะต้องรู้ระเบียบโบราณโดยเขียนไปตามลำดับ บังคับให้ผู้ดูเดินชมประทักษิณพระประธานหรืออุโบสถโดยไม่รู้ตัว ดังเช่นวัดพระแก้วที่พระระเบียงอันเขียนเรื่องรามเกียรติ์นั้น ห้องที่เริ่มต้นนั้นอยู่ทางทิศเหนือ ผู้ชมจะเดินไปสู่ทิศตะวันออกก่อน ซึ่งเป็นการได้ผล 2 ประการ
ประการแรก เป็นการเดินประทักษิณรอบพุทธาวาส คือพระอุโบสถและปรางค์เจดีย์ มณฑป กับพระวิหารบนฐานไพทีและสิ่งอื่นจนทั่ว
ประการที่สอง เป็นการเดินที่เป็นมงคล เพราะมุ่งเดินสู่ทิศตะวันออกเป็นทิศมงคลและมือซ้ายจะอยู่ทิศเหนือ อันเป็นอัปมงคลเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้อง สมมุติว่าจะเริ่มต้นจากผนังทิศตะวันตก แม้จะประทักษิณอุโบสถทางขวามือก็จริงอยู่ แต่ก็ผิดเคล็ดอีกอย่างหนึ่งคือ ในจุดเริ่มต้นเราให้ซ้ายมือเป็นอัปมงคลอยู่ทางทิศมงคล และขวามือเป็นมงคลอยู่ทางทิศตะวันตกอัปมงคล จริงอยู่เรามุ่งตรงไปทิศใต้อันเป็นมงคล แต่ก็เห็นอยู่แล้วว่าถ้าเริ่มจากผนังทิศเหนือทุกอย่างจะบริบูรณ์ลงตัวทุกอย่าง
การปลูกบ้านใหม่ ช่างสมัยนี้ก็ขาดความรู้ำทำกันสะเปะสะปะ อันเป็นผลร้ายอย่างยิ่งแก่ผู้อาศัยอยู่ ปกตินั้นประตูเข้าบ้านจะอยู่ทางขวามือของหน้าบ้าน ไม่ควรวางประตูไว้ทางซ้ายมือ เพราะประตูตั้งตรงกลางนั้นไม่เหมาะอยู่แล้ว ยังมีเคล็ดต่างๆ อีกคือ
(1) อย่าให้เสาไฟอยู่กับประตูบ้านแม้ว่าจะอยู่คนละฟากถนนก็ตาม
(2) อย่าให้บ้านเล็งศาลเจ้า, โรงเจ, วัด หรือประตูบ้านเล็งศาลพระภูมิบ้านตรงกันข้าม
(3) อย่าให้ตรอก, ถนน, ลำคลองพุ่งเข้าใส่หน้าบ้าน
(4) ท่อน้ำเสียอย่าให้ออกหน้าบ้านทางขวามือของตัวบ้าน ควรให้อยู่ทางซ้ายมือของบ้านจึงจะดี
(5) ถนนเข้าบ้านควรอยู่ทางขวามือของบ้าน
(6) ต้นไม้ชื่อเป็นสตรี เช่น กรรณิการ์, ลำดวน, มะลิ, กุหลาบ, สายหยุด, จำปี, ลดาวัลย์ ฯลฯ ควรอยู่ทางซีกซ้ายมือของตัวบ้าน
(7) ต้นไม้ที่ให้อยู่ขวามือของตัวบ้านควรชื่อเป็นผู้ชาย เช่น แคกตัส, มะม่วง, มะดัน, ทำสวนญี่ปุ่น ทำภูเขาเตี้ยหรือประดับก้อนหิน, ต้นสนต่างๆ เป็นต้น
(8) บันไดขึ้นสู่ชั้นบน อย่าเวียนซ้ายขึ้นไป ควรจะเวียนขวา ถ้าเวียนซ้ายจะถอยอายุ
(9) การตั้งส้วมควรอยู่หลังบ้านทางซีกซ้ายมือ
(10) ครัวไฟควรให้ค่อนข้างมาทางห่ลังบ้านทางขวามือ
(11) หัวนอน ควรหันไปสู่ทิศใต้อันเป็นทิศหัวนอนที่เป็นมงคลสูงสุด นิยมทุกชาติทุกภาษามาแต่โบราณแล้ว ถ้าจำเป็นจะหันไปสู่ทิศตะวันออกก็ได้
(12) หิ้งพระ ควรหันหน้าหิ้งไปสู่ทิศมงคล ส่วนมากนิยมทิศตะวันออกหรือหน้าบ้าน แต่ไม่ควรหันหน้าพระออกหลังบ้านเป็นอันขาด
(13) อย่าได้เอาหิ้งพระไว้ในห้องนอนไม่ดี เพราะห้องนอนอาจใช้ประกอบกามกิจเป็นการไม่คารวะต่อพระพุทธรูป หากจำเป็นด้วยที่ทางคับแคบ ควรมีม่านกั้นเสียอีกทีหนึ่ง
(14) ประตูเข้าบ้านก็เข้าไปแล้วเวียนขวาเข้าไปเจริญนักแล
เหล่านี้คือเคล็ดอาถรรพณ์ซึ่งจำเป็น ข้าพเจ้าถูกสอบถามจากผู้คนอยู่บ่อยๆ ได้ตอบไปเสมอ ส่วนมากมักปฏิบัติผิดพลาดต้องแก้ไขกันเนืองๆ กฎเกณฑ์เหล่านี้ถ้าปฏิบัติตามก็จะอยู่เย็นเป็นสุข จึงได้รวบรวมมาให้เห็นกันอย่างย่นย่อเสียคราวหนึ่ง ที่จริงยังมีเคล็ดที่จะปฏิบัติอีกมากแต่บางท่านอาจจะเห็นว่าจุกจิกเกินไป จึงเอาแต่ข้อใหญ่ใจความมาเท่านั้น
การยกเสาเอก เสาโท สมัยนี้ช่างไม่รู้ความจริง ทำไม่ถูกต้อง ผู้เป็นเจ้าของบ้านจะต้องไปตรวจตราเวลายกเสาเอกแล้ว เสาโทต้นต่อไปจะต้องเวียนขวาจากแกนกลางของบ้านไปเป็นเสาโท เสาตรีตามลำดับ ถ้าหากว่าช่างทำเวียนซ้ายผลจะเกิดความวิบัติภายในบ้าน ไม่ว่าฤกษ์ยกเสาเอกฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่จะดีปานใดก็ไม่อาจต้านทานได้ มีการโยกย้ายบ้าน ต้องเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ ต้องหมดเนื้อหมดตัวเพราะเสาโทกับเสาตรีเวียนซ้ายแกนกลางของบ้านนั้นเอง แกนกลางของบ้านหาได้จากการปักไม้ตรงจุดกึ่งกลางของบ้าน ตรงนี้จะเป็นหลัก เคยมีตัวอย่างเห็นจริงมาแล้วคือบ้านหลังหนึ่งเมื่อทำรั้ว ช่างจะปักเสาปูนไปทีละต้น แต่เป็นการเวียนซ้ายแกนกลางของบ้าน ผลที่สุดเพียงปีเดียวบ้านหลังนั้นก็วิบัติ รั้วถูกพายุพังราบลงมาทั้งกะบิ (รั้วสังกะสี) ผู้อยู่ก็เดือดร้อนมาก
บางคนบ่นว่าปลูกบ้านเสียเงินมหาศาลฤกษ์ก็หามาอย่างดีเยี่ยม แต่ก็อยู่บ้านนั้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปรากฏว่าชางตอกเสาเข็มได้ทำการเวียนซ้ายจากแกนกลางของบ้านไปตลอดเรื่องนี้จึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างใหญ่หลวง ให้ดูดังกรณีเครื่องหมายสวัสดิกะของพวกนาซีที่มุ่งจะล้างโลกนำความทุกข์ยากมาสู่โลกเอนกประการ และฮิตเล่อร์ตลอดจนบริวารก็พลอยจบชีวิตพร้อมกับความพินาศอย่างย่อยยับของอาณาจักรไรซ์ครั้งที่ 3 ก็เพราะว่า สวัสดิกะเครื่องหมายนาซีนั้นเวียนซ้ายจากแกนกลาง ถ้าเครื่องหมายนี้เวียนขวา สงครามโลกก็จะไม่เกิดและเยอมันก็จะไม่พินาศ ก็เหมือนกับบ้านในสมัยนี้ ช่างผู้ก่อสร้างเป็นคนรุ่นใหม่ไม่มีความรู้ หลายต่อหลายบ้านวินาศสันตะโรก็เพราะว่าช่างและเจ้าของบ้านไม่มีความรู้ ให้เสาโทกับเสาตรีเวียนซ้ายแกนกลางบ้านจึงเกิดโทษ ถ้าเจ้าของบ้านรู้มาบ้างแล้วคอยควบคุมก็จะไม่เดือดร้อนถึงเพียงนั้น
เรื่องทักษิณาวรรตหรือเวียนขวาจึงต้องขอเขียนเน้นอีกครั้งหนึ่งในคราวนี้ บางคนถือว่าไม่สำคัญ แต่ที่จริงนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิง ขอตอบว่าบุคคลทุกประเภทไม่ว่าฝ่ายหยินหรือหยางต้องถือหลักทักษิณาวรรตเป็นมงคลเสมอไปไม่มียกเว้น บุคคลประเภทหยินนั้นมีเคล็ดว่ามักจะอยู่ตรงซีกซ้ายของอาคารของบ้าน ซึ่งข้อนี้เป็นไปตามเคล็ดของธรรมชาติ ถึงแม้เราจะไม่ตั้งใจก็จะเป็นไปเอง ผู้ที่อยากรู้ว่าตนเป็นฝ่ายหยินหรือหยางก็มีกำหนดให้รู้จากดวงชะตาว่าลัคนาของท่านอยู่ราศีอะไร ก็อาจจะรู้ได้ดังนี้คือ
ฝ่ายหยินคือราศี เมถุน, กรกฎ, ตุลย์, พิจิก, กุมภ์ และมีน
ฝ่ายหยางคือราศี เมษ, พฤษภ, สิงห์, กันย์, ธนู, มังกร
ผู้มีธรรมชาติในดวงชะตาเป็นฝ่ายหยิน คือลัคนาอยู่ราศีเมถุน, กรกฎ, ตุลย์, พิจิก, กุมภ์และมีน หากว่าอยู่ทางซีกขวาของอาคารของบ้านจะเกิดโทษและเจ็บไข้ต่างๆ เพราะอยู่ผิดฝ่ายของตน แต่เรื่องนี้มิได้เกี่ยวกับการเวียนขวาแต่ประการใด เพราะกฎการเวียนขวาหรือมงคล จะเป็นกฎตายตัวที่ฝ่ายหยินและหยางจะต้องปฏิบัติตามเสมอไม่มีละเว้น
พึงจำไว้เสมอว่าการเวียนซ้ายขวานี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราอาจจะนำไปดัดแปลงใช้ได้กับอะไรทั้งหมด อย่างเช่นออกรถใหม่จากอู่ เมื่อมีฤกษ์กำหนดเวลาออกรถ ควรหาเส้นทางไปเวียนขวาต่อสถานที่สำคัญหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดสักรอบหนึ่ง จึงจะเกิดความเจริญ
สมัยโบราณการชักพระในบางกอกมีพิธีชักพระประจำ จะเริ่มแต่พระทางเรือจากวัดนางชี เข้าคลองชักพระวนขวาออกคลองบางกอกน้อย วนขวาออกแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นการทำประทักษิณผ่านวัดต่างๆ ทางขวามือเช่นวัดชีปะขาว, วัดสุวรรณาราว, วัดอัมรินทร์, วัดระฆัง, วัดอรุณ, วัดโมฬีโลกยารามและวัดหงษ์ ฯลฯ ไปโดยตลอด เรียกว่าประทักษิณตัวเกาะบางกอกจนทั่วจึงนำพระกลับไปประดิษฐานยังวัดนางชีตามเดิม
|