ข้อห้ามเกี่ยวกับการใช้ฤกษ์
ในบรรดาวิชาโหราศาสตร์ ที่นับถือและยกย่องกันว่า เป็นวิชาสูงสุดทางโหราศาสตร์ก็คือ การให้ฤกษ์ยามเพราะการให้ฤกษ์ยามเท่ากับโหรได้ลิขิตชาตา หรือเหตุการณ์ขึ้นใหม่ แล้วจะให้ผลดีประการใด ย่อมขึ้นกับความรู้และภูมิธรรมของโหรแต่ละคน ส่วนใหญ่ที่เห็นมา ดวงฤกษ์ที่ออกมาโดยโหรผู้มีความรู้ประเภทดูดวงเป็นก็ให้ฤกษ์ไป แบบนี้พลอยพาให้เจ้าของกิจการต่างๆ ฉิบหายขายตัว วอดวายมาเสียนักต่อนักแล้ว
ถ้ายังไม่รู้อะไรจริง ยังศึกษาโหราศาสตร์ไม่แตกฉาน อย่าได้อุตริให้ฤกษ์ยามเป็นอันขาด ด้วยการให้ฤกษ์เป็นหน้าที่ของโหรระดับรุ่นครูบาอาจารย์ ผู้รู้จริง มิใช่พวกรู้งูๆ ปลาๆ เพราะการให้ฤกษ์เป็นดาบสองคม คือฟลุ้คดีก็เสมอตัว ถ้าเกิดโทษแล้ว ตัวโหรผู้ให้ฤกษ์จะฉิบหายวายวอด
ในตำราโหราศาสตร์ภาคการให้ฤกษ์จะเน้นหนักในทางคำสาปแช่ง เพื่อป้องกันมิให้โหรผู้รู้อะไรบ้างนิดหน่อย แล้วอวดอุตริไปให้ฤกษ์ เช่น การวางฤกษ์ลัคนาเกาะตรียางค์ลูกพิษ โหรผู้ให้ฤกษ์ลูกจะตายหนึ่งคน หรือบางอย่างที่รู้ไม่จริง ให้ฤกษ์ไปแล้วมีแจ้งในตำรา เขาสาปแช่งไว้เลยว่า ตาจะบอด และเป็นไปสารพัด
ทุกวันนี้มีผู้นิยมไปหาพระเพื่อขอฤกษ์ยาม ส่วนใหญ่พระผู้ให้ฤกษ์มักรู้ไม่จริง ก็จะให้ฤกษ์ไปส่งเดช ซึ่งผลร้ายจะเกิดติดตามมาต่างๆ นานา
ในการให้ฤกษ์ยามนั้น ประการแรกจะต้องเลือกวันเสียก่อนว่า จะเหมาะแก่ผู้มาขอฤกษ์หรือไม่ ท่านห้ามวันกาลกิณีของผู้นั้น คือ ต้องรู้ว่าเกิดวันอะไรเสียก่อน ดังมีกฎเกณฑ์ง่ายๆ คือ
เกิดวันอาทิตย์ วันกาลกิณี คือวันศุกร์
เกิดวันจันทร์ วันกาลกิณี คือวันอาทิตย์
เกิดวันอังคาร วันกาลกิณี คือวันจันทร์
เกิดวันพุธ วันกาลกิณี คือวันอังคาร
เกิดวันพฤหัสบดี วันกาลกิณี คือวันเสาร์
เกิดวันศุกร์ วันกาลกิณี คือวันพุธกลางคืน
เกิดวันเสาร์ วันกาลกิณี คือวันพุธ
เกิดวันพุธกลางคืน วันกาลกิณี คือวันพฤหัสบดี
วันพุธกลางคืนก็คือวันราหู บางท่านก็ไม่ถือว่ามีวันราหู เพราะถือกันว่า วันพฤหัสบดี ไม่เป็นวันกาลกิณีของใคร
วันพฤหัสบดีนั้น เป็นวันที่ยกย่องสูงสุด ถูกกีดกันไว้ถือเป็นวันครูโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่ก็จะใช้ัวันพฤหัสบดีสำหรับยกพระขึ้นหิ้ง ขึ้นที่บูชา หรือใช้ในการเริ่มเรียนเริ่มศึกษา ใช้ในการเริ่มดูตำรับตำราใหม่ๆ หรือใช้สำหรับขึ้นบ้านใหม่
ในวันไหว้ครูท่านบังคับไว้เด็ดขาดเลยทีเดียวว่า ให้ไหว้เฉพาะวันพฤหัสบดีเท่านั้น จะไหว้วันอื่นมิได้ ข้อนี้ก็เคยเห็นมาคือ บางปีกาลโยคในปฏิทินโหรประจำปีระบุว่า พฤหัสบดีเป็นอุบาทว์ หรือโลกาวินาศ มีผู้จะไหว้ครูได้เลื่อนไปไหว้ครูวันเสาร์ นั่นเป็นเพราะว่าไม่นับถือครู โดยไปไหวครูวันอื่นที่มิใช่วันพฤหัสบดี
วันพฤหัสบดีดังได้กล่าวว่าเป็นวันดีเยี่ยม ตำราโบราณบางแห่งไม่ยอมให้พฤหัสบดีเป็นกาลกิณี ดังนี้แม้ปีใดในกาลโยคประจำปีระบุว่า พฤหัสบดีเป็นอุบาทว์, โลกาวินาศ ถ้าจะไหว้ครูก็คงใช้ได้ ไม่มีผลเสียหายอะไร ถึงอย่างไรความดีก็มีมากกว่า ดีกว่าเอาวันอื่นไปไหว้ครูจะเดือดร้อนในภายหลัง
โบราณชนท่องจำกันไว้ว่า "ขึ้นบ้านวันเสาร์, เผาผีวันศุกร์, โกนจุกวันอังคาร, แต่งงานวันพุธ"
การเลือกวันนี้คนจีนถือกันมาก แม้ฝรั่งเองก็ถือ เช่น เขาจะไม่ยอมแต่งงานวันพฤหัสบดีด้วยเป็นวันของเทพเจ้าทอร์ ซึ่งเป็นยักษ์ที่เขานับถือ ในคำกลอนห้ามแต่งงานวันพุธ โดยถือตามคติโหรเก่าที่ว่า "พุธรวรเร" แต่งงานวันพุธจะไม่มั่นคง
แต่ที่จริงแล้ว ตำราเก่าของไทยท่านห้ามเด็ดขาด มิให้แต่งงานวันพฤหัสบดีด้วยเป็นวันครู มิให้เอาโลกีย์อย่างการแต่งงานมาทำให้แปดเปื้อนไป ถ้าจะเลือกเอาระหว่างวันพุธกับวันพฤหัสบดีแล้ว ควรเลือกเอาวันพุธดีกว่า วันพฤหัสบดีดูเหมือนว่าจะถือกันทั่วโลก ตำราโหรไทยบางฉบับมิได้ถือวันพฤหัสบดี ทั้งๆ ที่คนเก่าแก่ในหลายจังหวัด เช่นสมุทรสงครามและเพชรบุรี เขาห้ามเด็ดขาด ข้าพเจ้าจึงขอเสนอว่า ไม่ควรใช้วันนี้แต่งงาน เช่นเดียวกับคนโบราณ
วันอังคารกับวันเสาร์ ตำราฤกษ์บางเล่มมีข้อห้ามไว้เลย ห้ามให้ฤกษ์วันนี้ถือเป็นวันบาปเคราะห์ ถ้าจะให้ข้าพเจ้าวิจารณ์ ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะยึดถือกันให้เคร่งเกินไปนัก สังเกตจากคนใหญ่ๆ โตๆ ท่านก็เกิดวันอังคารวันเสาร์กันมาก เพียงแต่ท่านห้ามโกนจุกวันอังคาร อาจมีอุบัติเหตุมีดโกนบาดได้ หรือวันเสาร์เป็นวันโทษทุกข์ ไม่ควรขึ้นบ้านใหม่ สำหรับกรณีเลือกเอาวันเสาร์เป็นวันเริ่มธุรกิจการงาน หรือออกรถใหม่ หรือเริ่มการหว่านไถ ก็ไม่น่าจะให้โทษแต่อย่างไร
อย่างไรก็ดี น่าจะต้องดูดวงชาตาประกอบด้วย ถ้าในดวงชาตานั้น เขามีเสาร์เด่นและไม่ถูกเบียน ก็น่าจะใช้วันเสาร์ได้ ด้วยเป็นดาวให้คุณในดวงชาตา อย่างไรก็ดีถ้าเป็นดวงบ้านเมือง เช่น ดวงเมือง หรือดวงนครเก่าแก่ของไทย เท่าที่ตรวจดูในคัมภีร์เก่า มักจะใช้วันอาทิตย์หรือวันพฤหัสบดี เพราะ 2 วันนี้เป็นวันที่แสดงถึงความมั่นคงและยั่งยืน
ในตำราการหล่อปืนใหญ่สมัยโบราณที่ นายแพทย์สำราญ วังสพ่าห์ ค้นคว้ามาปรากฏว่าปืนใหญ่อันมีชื่อทุกกระบอกที่หล่อในสมัยโบราณ ล้วนแต่หล่อวันอังคารและวันเสาร์ทั้งสิ้น
วันแรม 15 ค่ำ ซึ่งเรียกว่า วันดับ พวกกะเหรี่ยงนิยมปลุกเสกเครื่องรางของตนในวันดับนี้ ถือว่าขลังดีนัก เครื่องรางชิ้นนั้นจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันเขี้ยวงาดีนัก ไม่มีสิ่งใดเทียบ แต่วันดับหรือแรม 15 ค่ำเช่นนี้ ในตำราฤกษ์ห้ามขาด มิให้ฤกษ์ยามทำการมงคล
ว่าถึงวันห้ามในการทำมงคลนั้นนอกจากห้ามวันดับ ซึ่งถือว่าเป็นวันไม่ดี ทำอะไรไม่เจริญ มักอับเฉาแล้ว ท่านยังห้ามวันอื่นๆ อีก เช่น
สงฆ์ 14 หมายถึงวันขึ้นหรือแรม 14 ค่ำ ซึ่งเป็นวันโกน ไม่ควรทำกิจอะไรเกี่ยวกับสงฆ์ ว่าจะเกิดความวิบัติต่างๆ นานา สมัยโบราณคงจะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะในหมู่สงฆ์ วันโกนนี้จะเป็นวันพักผ่อนสำคัญวันหนึ่ง บรรดาสงฆ์ต่างก็ผลัดกันโกนศีรษะ และจะมีเรื่องยุ่งทั้งวัน การกำหนดพิธีเชิญสงฆ์ไปในงานมงคลต่างๆ ตรงกับวันสำคัญนี้ เท่ากับเป็นการไม่สมควร ท่านจึงห้ามไว้อีกวันหนึ่ง
นารี 15 น่าจะหมายถึงการสู่ขอหมั้นหมาย แต่งงาน หรือไปหาหญิงคู่ครองของตน วัน 15 ค่ำ เป็นที่รู้กันแล้วว่าคือวันพระ จึงไม่สมควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนโบราณถือกันนัก เรื่องวันพระห้ามมิให้สมสู่กัน เขาถือกันเคร่งมานานแล้ว ดังนี้จึงเป็นข้อห้าม แต่คนสมัยนี้มาตีความว่า เรื่องเกี่ยวแก่นารี เช่นกิจกรรมเสริมสวย, โรงเรียนสตรีหรือกิจกรรมต่างๆ ของสตรีก็ห้ามด้วย น่าจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ที่จริงควรเป็นเรื่องห้ามมิให้ยุ่งเกี่ยวกับนารีมากกว่า
ข้อห้ามอื่นที่มิให้ฤกษ์ ก็คือ วันอุบาทว์ โลกาวินาศ ตามกาลโยคประจำปี ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ท่านก็ห้ามไว้ แต่โหรบางท่านก็หาข้อเลี่ยงได้ เช่น วันดังว่านั้นถ้าตรงกับวันกาลกิณีแล้ว ก็ว่าไม่เป็นไร ถือตามกฎว่า เสียพบเสียเป็นดี หรือบางคนจะทำในสิ่งต้องห้าม เช่น ผิดกฎหมายหรือของเร้นลับ ก็ว่าดีไปเลย อันนี้เป็นศิลปการหาฤกษ์ประจำตัวของเกจิอาจารย์บางท่านที่จริงกฎเกณฑ์กาลโยคนี้เป็นกฎคำนวณในวันสงกรานต์ ตามระบบโหราศาสตร์ฝ่ายมอญ ที่เป็นคนรุ่นเก่าไม่ค่อยถือกันนัก ยิ่งมีกฎคำนวณแบบอื่นแทรกเข้ามาอีก เช่น วันพยายะ วันมรณะ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ กล่าวคือ ยิ่งหากฎเกณฑ์ต่างๆ มาพอกเสียจนหาฤกษ์ไม่ได้เลย
บางคนเคร่งหนักตามตำราโบราณที่มีข้อขัดแย้งกันมาก เช่น ดูดิถีร้าย, ดูเกณฑ์จักขุมายา, ดูเกณฑ์วันพระเคราะห์ใหญ่ยก, ดูเกณฑ์ว่าฤกษ์เข้าหรือฤกษ์ออก ดูข้อห้ามต่างๆ สารพัดจนกลายเป็นว่า เดือนหนึ่งหาฤกษ์ไม่ได้เลย
ที่จริงการหาฤกษ์นั้น ถ้าท่านไม่งุ่มง่ามต่อกฎเกณฑ์อันรุงรังเกินไปนัก ก็ควรจะดูว่าฤกษ์อะไรเหมาะแก่การอย่างไร จะเหมาะสมกว่ามาก ที่จะไปเห็นกฎเกณฑ์ข้อห้ามหยุมหยิมสำคัญแล้วก็เลยฤกษ์กับแง่มุมสำคัญในวันนั้นๆ ไปเสีย การโคจรของดวงดาวกับฤกษ์วันเหมาะสมแก่กิจการ ควรยึดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ข้อห้ามอันมากมายในตำราฤกษ์นี้ ถ้าท่านเคร่งจริงๆ แล้ว เดือนๆ หนึ่งท่านจะหาฤกษ์ไม่ได้เลย เพราะแม้ว่าจะหาวันที่ปลอดจากข้อห้าม (ซึ่งในเดือนหนึ่ง อาจจะมีเพียงวันหรือสองวันเท่านั้น) แต่ท่านก็ได้ละเลยตำแหน่งดวงดาวที่ดีไปเสียแล้ว
ข้าพเจ้าขอแนะนำว่า ท่านควรถือตำแหน่งดวงดาวสำคัญเป็นอันดับแรก และฤกษ์อันเหมาะแก่การเป็นอันดับสอง ส่วนข้อห้ามต่างๆ ในตำราฤกษ์ ควรเป็นอันดับสุดท้าย วิธีนี้จึงจะถูกต้อง
สมมุติว่า ระหว่าวันที่ 13 เมษายน ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ระยะนี้อาทิตย์โคจรเป็นมหาอุจ ซึ่งท่านประสงค์จะหาฤกษ์มงคล เช่น ปลูกบ้าน หรือขึ้นใหม่ หรือพิธีวางศิลาฤกษ์อันสำคัญ เพราะยกย่องว่า อาทิตย์มหาอุจจะให้ความมั่นคงดีนัก แม้ดวงเมืองบางกอกก็ยังคงให้อาทิตย์เป็นมหาอุจ แต่เมื่อท่านจะหาฤกษ์ตลอดระยะเวลานั้น ปรากฎว่าไม่มีฤกษ์ที่จะจ่อมลงไปวันใดได้
ตามหลักการให้ฤกษ์นั้น นอกจากประคองอาทิตย์ให้เด่นแล้ว จันทร์เป็นอันดับสอง ดาวอื่นเป็นอันดับสาม ก็เมื่อท่านมัวไปพะวงกฎเกณฑ์หยุมหยิมในตำราฤกษ์ จนวางฤกษ์ไม่ลง แล้วก็เลยข้ามโอกาสอาทิตย์มหาอุจไปอย่างน่าเสียดาย แบบนี้เข้าทำนอง "เห็นขี้ดีกว่าไส้" หรือ "เห็นกระพี้ดีกว่าแก่น"
เป็นความโง่อย่างบัดซบ นั่นแสดงว่าท่านไม่เข้าใจโหราศาสตร์เลย เมื่อจะหาฤกษ์ประการแรกต้องดูตำแหน่งของดวงดาวก่อน แล้วดูโยคเกณฑ์ หาฤกษ์ให้สัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างนี้จึงจะถูก
การหาโยคเกณฑ์ต้องดูว่า จันทร์ทำมุมเป็นเกณฑ์กับพฤหัสบดี (คือเป็น 1, 4, 7, 10 แก่กัน) จึงจะเยี่ยม แล้วจึงวางลัคนาให้สัมพันธ์กับโยคเกณฑ์เหล่านั้น
กฎเกณฑ์ข้อห้ามในตำราฤกษ์นั้น 80 เปอร์เซ็นต์มาจากตำราหมอดูพวกดูเลข 7 ตัวและพรหมชาติ แลการดูแบบมิใช่โหราศาสตร์ เป็นการวางไว้แบบครอบจักรวาล ถ้าจะเอามาเกี่ยวกับโหราศาสตร์ ก็ให้เกี่ยวข้องโดยมีเปอร์เซ็นต์อย่างสูงไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
นี่เอง คือข้อตอบปัญหา ที่บรรดาโหรทั้งหลายข้องใจกับตำราฤกษ์ว่า มีข้อห้ามมากมายจนหาฤกษ์ไม่ได้ และจะปฏิบัติตนอย่างไร
คำแนะนำของข้าพเจ้าก็คือ ประการแรกให้โยนตำราต่างๆ ทิ้งหมด แล้วให้ดูการโคจรดวงดาวอาทิตย์จันทร์ กับหาฤกษ์เหมาะแก่การ
อันดับที่สอง ให้ยึดถือกฎเกณฑ์สำคัญ อันเป็นข้อห้ามทางโหราศาสตร์ คืออย่าวางลัคนาให้เกาะตรียางค์ลูกพิษหรือนวางค์ขาด หรือนวางค์อันเจ้าของนวางค์เป็นดาวอริ มรณะ หรือ วินาศนะของดวงชาตาเดิม และดวงฤกษ์เอง
พูดง่ายๆ ก็คือ ข้อห้ามทางโหราศาสตร์ให้ยึดถือไว้ ส่วนข้อห้ามอื่นๆ อันมีมานอกคัมภีร์ อย่าเอามาเป็นอารมณ์ ถ้ารักจะเล่นโหราศาสตร์ให้แตกฉานแล้วก็ควรเชื่อมั่นในคุณภาพของดวงดาวของโยคเกณฑ์จะดีกว่าอื่น
ข้อสำคัญ ดาวเจ้าการของฤกษ์ เราจะละเลยเสียมิได้ ดาวเจ้าการก็คือ
ดาวอาทิตย์ เป็นเจ้าการของการสร้างบ้านเมือง, อาคารรัฐบาล, การขึ้นบ้านใหม่, การปลูกบ้าน (ราชาฤกษ์)
ดาวจันทร์ เป็นเจ้าการของกิจกรรมสตรี, การค้า, การประชุม, การให้มีเสน่ห์ มีความนิยม (เทวีฤกษ์)
ดาวอังคาร เกี่ยวกับฤกษ์ทหาร, ตำรวจ, อาวุธ, วิศวกร, การจู่โจม, การสร้างสถานีตำรวจ, ทหาร (เพชฌฆาตฤกษ์)
ดาวพุธ เกี่ยวกับปลูกต้นไม้, การเจรจา, การประชุมตกลงเซ็นสัญญา, ร้านขายหนังสือ, การปาฐกถา (ภูมิปาโลฤกษ์)
ดาวพฤหัสบดี เกี่ยวกับครู, โรงเรียน, มหาวิทยาลัย, ผู้พิพากษา, ศาลา, การทำไร่นา, การธนาคาร, ความมั่นคง (มหัทธโนฤกษ์)
ดาวศุกร์ ศิลป, ความรัก, แต่งงาน, โรงแรม, ธุรกิจบันเทิง, ศิลปทุกสาขา, ร้านเสริมสวย (เทศาตรีฤกษ์)
ดาวเสาร์ กรรมกร, การจัดหางาน, การก่อสร้าง, โกดังเก็บของ (ทลิทโทฤกษ์)
ดาวมฤตยู เกี่ยวกับจิต, วิทยาศาสตร์, การค้นพบ, ไฟฟ้า, อิเลคโทรนิค (โจโรฤกษ์)
ดาวเนปจูน ภาพยนตร์, คอมมิวนิสต์, โทรทัศน์, ฝูงชน, โรงมหรสพ, การประชุม, การปลุกระดมมวลชน (เทศาตรีฤกษ์)
ดาวพลูโต เป็นดาวเกี่ยวกับการสะสม, โบราณคดี, การแพทย์, โหราศาสตร์, การฝึกฝนจิต, วิปัสนา กัมมัฏฐาน, นักอนุรักษ์นิยม (มหัทธโนฤกษ์)
ดาวโสม (แบคคัส) เป็นเทพเจ้าแห่งเมรัย, วิญญาณ, การเงิน, การลงทุน, การเสี่ยงโชค, การเสี่ยงอันตรายซึ่งจะไม่เสียชีวิต, กิจการเกี่ยวกับของมึนเมา, ไนท์คลับ, การเลี้ยงรื่นเริง, งานสโมสรสันนิบาต (มหัทธโนฤกษ์)
ข้อเขียนคราวนี้หนักไปทางทฤษฎี แต่ขอให้มั่นใจว่า เป็นหลักการที่ได้กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ ที่ได้ฝึกฝนทางด้านโหราศาสตร์มาแล้ว 20 กว่าปีขึ้นไป ประสบการณ์สำคัญยิ่งกว่าตำรา อีกประการหนึ่งมีผู้ข้องใจเป็นจำนวนมากในการจะปฏิบัติตนอย่างไร และตำราชนิดใดควรยึดถือแค่ไหน ในการให้ฤกษ์ยาม
ข้อเขียนนี้ น่าจะขจัดความมืดมนให้กระจ่างเสียที ส่วนใหญ่เราก็มักตาฟางและโง่ งมเถรกับตำราจนไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรเป็นอันดับรอง เมื่อได้มีอรรถาธิบายเสียบ้างจากผู้ที่พอจะจัดเจนมานานพอสมควร ก็น่าจะถือเป็นแบบฉบับยึดถือได้ เพราะข้อวิจิกิจฉาน์ตัว ข้าพเจ้าเองได้ประสบมาก่อน จะไปปรึกษาครูบาอาจารย์ท่านใด ก็ล้วนแต่เป็นครูบาอาจารย์ประเภทกอดตำราแจโดยไม่ยอมปล่อย ต้องศึกษาหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง จากสถิติและความจัดเจนที่ให้ฤกษ์ยามมา 20 กว่าปี จึงได้รู้ว่าฤกษ์ที่ดีและเลวมีลักษณะเช่นไร เมื่อมีโอกาสได้เสนอข้อเขียนนี้ออกมา ก็เท่ากับยกภูเขาอันหนักอึ้งออกจากอก ด้วยแบกสิ่งนี้สุมอกไว้นานแล้ว และก็ได้เห็นการให้ฤกษ์ยามแบบผิดๆ มากยิ่งขึ้น จนบางครั้งก็ระอา เพราะส่วนใหญ่มัวไปเคร่งตำราตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์กันเสียหมด ส่วนฤกษ์จะดีจะเลวอย่างไรไม่ได้คำนึงถึงเลย
ข้าพเจ้าขอให้ข้อคิดว่า การดูดวงคนว่าจะมีวาสนาบารมี มีความสำเร็จแค่ไหน ก็ต้องดูแง่มุมในดวงกับโยคเกณฑ์ กับคุณภาพของดวงดาวที่อยู่ถูกที่ เป็นสำคัญ ดวงจะดีอยู่ในเกรดอะไรก็ดูตรงนี้
ดวงฤกษ์ก็เช่นกัน จะดีเลวอย่างไร จะมั่นคงแค่ไหน มันก็กฎเกณฑ์อันเดียวแบบดวงคน
และดวงคนทั้งหลายที่อุบัติขึ้นมานั้น ลองไปเช็คตรวจดูจะพบว่าผิดตำราฤกษ์เสียตั้งครึ่งค่อน มีวาสนาแรง ไปได้ปรูดปราด นั่นเป็นเพราะว่า ในดวงของเขาถูกต้องตามกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ข้อสำคัญต้องประคองดวงเจ้าการให้ในดวงฤกษ์ด้วย เช่น เทศาตรีฤกษ์ อันเป็นฤกษ์เกี่ยวกับการเปิดร้านเสริมสวย, งานศิลป, งานมหรสพ ฯลฯ จะต้องประคองดาวศุกร์ไว้ให้เด่นในดวงฤกษ์ เพราะศุกร์เป็นเจ้าการทางนี้
ฤกษ์เปิดธนาคาร ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ การปลูกบ้าน จะต้องประคองดาวพฤหัสบดีอันดาวมีความหมายทางอุดมสมบูรณ์โดยตรง ให้อยู่ในตำแหน่งที่ดี มิให้ต้องไปถูกเบียนในภพทุสถานะ (อริ, มรณะ, และวินาศนะ) เป็นใช้ได้
|